วันเสาร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2566

 #ประกวดครั้งที่65

อาคาชิ รีคอร์ด

" "ตอนที่มนุษย์ต่างดาวยัดพืชอวกาศใส่บุหรี่ ให้มนุษย์โลกฆ่ากันด้วยการทำลายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ทิ้ง แล้วพอถึงคำบรรยายจบตอน คนบรรยายกลับเสียดสีว่า นี่เป็นเรื่องในยุคอนาคตเพราะปัจจุบันมนุษย์เราไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและแข็งแกร่งมากพอให้มนุษย์ต่างดาวรุกรานโลกด้วยวิธีการ 'ทำลายความสัมพันธ์' ได้?"

"อุลตร้าเซเว่น ตอนที่8"

"ถูก แล้วตอนที่บอกว่ามนุษย์โลกแท้ที่จริงคือมนุษย์ต่างดาวผู้รุกรานโลก?"

"อุลตร้าเซเว่น ตอนที่42"

"ตอนที่เสียดสีความไร้สาระของความเห็นแก่ตัว ผ่านเรื่องของมนุษย์ต่างดาวที่ช่วงชิงชีวิตคนอื่นเพื่อต่อชีวิตให้ตัวเอง?"

"อุลตร้าเซเว่น ตอนที่11"

"ตอนที่วิพากษ์วิจารณ์การเติบโตเศรษฐกิจที่สูงกับขอบเขตของวิทยาศาสตร์ที่มืดบอดในยุคสมัยนั้น?"

"อุลตร้าเซเว่น ตอนที่43"

"ตอนที่มีความเป็นการ์ตูนแนวกีฬา?"

"อุลตร้าแมนแจ๊ค ตอนที่4"

"ตอนที่มีธีมของความโกรธกับการเลือกปฏิบัติ"

"อุลตร้าแมนแจ๊ค ตอนที่33"

"ตอบถูกหมดเลยแฮะ วัตสันไม่ได้แอบไปดูมาเมื่อวานนี้ใช่ไหม?"

"เราชอบอุลตร้าแมนเหมือนกัน อุลตร้าเซเว่นนี่ชอบสุดเลยล่ะ"

"เอาจริงดิ วัตสันเป็นผู้หญิงที่ชอบอุลตร้าแมน เกิดมาตั้ง23ปีเพิ่งเจอเป็นครั้งแรก เคยเจอแต่ผู้หญิงชอบพิกโกโร่ในดราก้อนบอล"

จอห์นนี่ หนุ่มวัย 23 ปี มีปานที่คอกับข้อมือซ้าย หยิบมีดพลาสติกตัดเค้กช็อกโกแลตที่วางอยู่บนโต๊ะ

"10 กันยายน แด่วันเกิดของเราสองคน อายุ24ปีเท่ากันทั้งคู่"

นักสืบหญิงวัตสัน สาวอังกฤษ ตาสีฟ้า ผมสั้นสีบลอนด์ ผิวขาว และดูเหมือนตัวการ์ตูนญี่ปุ่นหลุดออกมาอยู่ในโลกความเป็นจริง หลับตาลงแล้วกุมมือทั้งสองข้างไว้ที่อก แล้วก็ลืมตา

"จอห์นนี่ลองอธิฏฐานดูบ้างสิ"

"เคยไปแล้ว นี่ไง ก็นั่งอยู่เฉย ๆ หัวโด่อยู่ตรงนี้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ ไม่ได้เป็น เป็นนักเขียนบทหนังกับผู้กำกับ ก็ไม่ได้เป็นอีก เนี่ย นั่งโด่เด่อยู่ตรงเนี้ย ตรงเนี้ย"

"พวกเราทั้งคู่เพิ่ง24ปีเองไม่ใช่เหรอ เราทั้งคู่ยังไปได้ไกลในอนาคต"

"ขอให้มนุษย์ต่างดาวไม่รุกรานโลก"

จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันแบ่งเค้กกันกิน

"เล่นการ์ดยูกิกับเราไหม?" วัตสันพูดขึ้น

"แนะนำนะ วัตสัน อย่าเล่นเลย ยูกิเดี๋ยวนี้เล่นตาเดียวก็จบแล้ว ทำไมไม่ขายแต่เด็คเอ็กโซเดียซะเลย ถามว่ามันไม่สนุกใช่ไหม? ตาเดียวก็จบแล้วมันก็ไม่สนุกจริง ๆ นั่นแหละ ไพ่ป๊อกยังใช้เวลานานกว่าเลย"

"เล่นแบบสมัยก่อนไง"

"ได้ ๆ"

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป

"วัตสัน คืนเรนโบว์ดราก้อนมาได้แล้ว"

"อ๊ะ โทษที"

"เล่นเกมred alertกับcounter strikeต่อกัน"

"ได้....เดี๋ยวนะ คอมฯพังอยู่นี่หว่า"

"เราซ่อมให้แล้ว"

"วัตสันซ่อมให้แล้วเหรอ?"

"ใช่"

จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันเล่นเกมคอมฯด้วยกันจนดึก แล้วก็ถึงเวลาเข้านอนของทั้งคู่

"วันนี้จอห์นนี่นอนห้องเรานะ"

"หือ วันนี้วัตสันจะไม่อยู่เหรอ?"

"อยู่"

"หา?"

"นอนบนเตียงเรานะ"

"วัตสันเป็นผู้หญิงนะ เราเป็นแค่คู่หูกันเท่านั้น"

"มันหนาวอะ"

"มีวิธีทำให้ร้อนอยู่นะ ปิดหน้าต่างแล้ว...ปิดแอร์"

"จอห์นนี่นอนบนเตียงเราได้"

"ฮะ?"

แล้วนักสืบหญิงวัตสันก็ปิดไฟแล้วลากจอห์นนี่นอนลงบนเตียงนอนด้วยกัน

"จอห์นนี่ไม่อยากมีอะไรกับเราจริง ๆ เหรอ?"

"พูดซะผมดูแย่เลย"

"อย่าคิดมากสิ"

"เอาเถอะ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว เพราะจะนอนกอดหมอนข้างมันทั้งคืนนี่แหละ"

ทั้งคู่หลับไปแล้วตื่นขึ้นมาในตอนเช้า กินอาหารเช้าตามปกติ

ทันใดนั้น จากที่ทั้งคู่อยู่ในบ้านของนักสืบหญิงวัตสัน อยู่ ๆ ทั้งคู่กลับอยู่ในดินแดนทะเลทราย ท้องฟ้าสีฟ้านั้นเมฆเคลื่อนเร็วดุจดั่งน้ำตก บ้านของนักสืบหญิงวัตสันหายไปอย่างฉับพลัน ทิ้งจอห์นนี่และนักสืบหญิงวัตสันไว้ในทะเลทรายประหลาดนั้น

"วัตสัน"

"จอห์นนี่"

"บอกตรง ๆ ว่าคิดอะไรไม่ออกเลย"

"ระดับจอห์นนี่คิดได้อยู่แล้ว"

ก็มีงูยักษ์แปดหัวแปดหางตัวหนึ่ง สูงใหญ่เท่าฟ้า เลื้อยไล่จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสัน จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันก็วิ่งหนีจากงูยักษ์แปดหัวนั้น

"จอห์นนี่ รู้สึกคุ้น ๆ งูตัวนี้หรือเปล่า?"

"ยามาตะ โนะ โอโรจิ งูยักษ์แปดหัวแปดหางในตำนานญี่ปุ่นที่โดนซูซาโนโอะฆ่าตาย"

จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันหนีงูยักษ์แปดหัวนั้นไปจนถึงเมืองร้างที่ก่อจากหินทราย ก็เข้าไปหลบอยู่ในนั้น แล้วทุกอย่างก็เงียบไป

ในเมืองร้างนั้น มีภาพแกะสลักบนฝาผนังเป็นรูปสิ่งมีชีวิตที่เหมือนมนุษย์ แต่ศรีษะแหลมดังหอก ทั่วทั้งผนังของเมืองนั้น

วัตสันเห็นภาพแกะสลักเหล่านั้นก็ถามว่า "เราคุ้น ๆ รูปพวกนี้อะ แต่เราจำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหน"

จอห์นนี่ก็ตอบว่า "โนเนเลี่ยน เพื่อนคนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ตายไปเคยพูดถึงไว้ เอ็น โอ เอ็น เอแอล ไอ อี เอ็น(nonalien) ถ้าเติมขีดหลังตัวเอ็นที่อยู่หน้าตัวเอ จะได้คำว่า นอนเอเลี่ยน(non-alien) แปลว่า ไม่ใช่เอเลี่ยน เขาบอกว่า เผ่าพันธุ์โนเนเลี่ยนคือเผ่าพันธุ์มนุษย์โลกที่แท้จริง ส่วนพวกเราเป็นมนุษย์ต่างดาวผู้รุกรานที่ทำลายอารยธรรมโนเนเลี่ยนทิ้ง ทั้งชุมชนนักวิทยาศาสตร์คิดว่ามันเป็นแค่ทฤษฎีสมคบคิด"

"ใช่คนที่บอกว่า สิ่งมีชีวิตในตำนานมีอยู่จริง แบ่งเป็นพวกที่อยู่บนโลกกับพวกที่มาจากอวกาศหรือเปล่า?"

"ใช่ คนนั้นแหละ"

นักสืบหญิงวัตสันดูฝาผนังของเมืองร้างนั้นไปเรื่อยๆแล้วชะงักอยู่ตรงผนังที่จารึกตัวอักษรประหลาดที่ไม่ตรงกับตัวอักษรของภาษาใดในโลกเลย

"จอห์นนี่ เราเคยเห็นข้อความตรงนี้"

จอห์นนี่ก็เดินไปหานักสืบหญิงวัตสัน ครั้นได้เห็นตัวอักษรประหลาด จอห์นนี่จึงว่า "ชะตากรรมและโชคชะตาของดาวเคราะห์ดวงนี้ เราไม่มีหน้าที่ตัดสินใจ ผู้ครองดาวเคราะห์ดวงนี้ คือผู้ตัดสินใจชะตากรรมและโชคชะตาของดาวดวงนี้ เราไม่มีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมให้กับทั้งฆาตกรทั้งเหยื่อ ไม่ว่าจะฆาตกรหรือเหยื่อ ฆาตกรและเหยื่อตัดสินใจชะตากรรมและโชคชะตาของตัวฆาตกรและเหยื่อเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นตัดสินให้"

"จอห์นนี่เคยเห็นเหรอ?"

"เพื่อนคนนั้นเคยพูดถึงประโยคนี้ไว้ บอกว่าดาวเคราะห์ที่มีสิ่งมีชีวิตทุกดวงมีพยานเฝ้าดูวิวัฒนาการ ประโยคนี้เป็นประโยคที่ผู้เฝ้าดูวิวัฒนาการพูดกับโนเนเลี่ยน"

ทันใดนั้น ก็มีเสียงประหลาดพูดกับทั้งสองคนว่า "ถูกต้อง" จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันหันไปหาต้นเสียง ก็มีมังกรทองเข้ามาในเมืองร้างจากอีกด้าน จอห์นนี่เห็นดังนั้นก็ถามว่า "ผู้เฝ้าดูวิวัฒนาการเหรอ?" มังกรทองจึงว่า "ถูกต้อง ไม่ว่าจะฆาตกรหรือเหยื่อ ฆาตกรและเหยื่อตัดสินใจชะตากรรมและโชคชะตาของตัวฆาตกรและเหยื่อเอง ไม่ใช่ให้ผู้อื่นตัดสินให้" จอห์นนี่ได้ฟังดังนั้นจึงว่า "ถ้าพูดประโยคนี้กับมนุษย์ โดนมนุษย์ด่าแถมเกิดดราม่าแน่" มังกรทองนั้นก็ถามว่า "ทำไมรึ?" จอห์นนี่ก็ตอบว่า "ไม่มีมนุษย์ที่ไหนเชื่อว่าเหยื่อตัดสินใจชะตากรรมกับโชคชะตาของตัวเหยื่อเองหรอก" มังกรทองก็ถามว่า "เจ้าไม่เชื่อว่าฆาตกรกับเหยื่อตัดสินใจชะตากรรมกับโชคชะตาของตัวเองรึ?" จอห์นนี่จึงว่า "ถ้าถามว่า ยึดถือแนวคิดอะไร ยังพอตอบได้นะ" มังกรทองได้ยินจอห์นนี่ว่าดังนั้นก็ถามจอห์นนี่ว่า "เจ้ายึดถือแนวคิดใด?" จอห์นนี่จึงว่า "ฆาตกรกับเหยื่อตัดสินชะตากรรมกับโชคชะตาของตัวเอง......ถ้าให้คนอื่นตัดสินชะตากรรมของทั้งเหยื่อของทั้งฆาตกร ถ้ามันตัดสินให้คนเห็นแก่ตัวได้เห็นแก่ตัวต่อไป แล้วคนอื่นต้องถูกกระทำ นั่นใช่ความยุติธรรมเหรอวะ? ให้คนอื่นตัดสินชะตากรรมกับโชคชะตาของเราให้ เราจะได้ความยุติธรรมเหรอ? เพราะยังงี้ ฉันถึงไม่ชอบให้คนอื่นตัดสินชะตากรรมกับโชคชะตาให้ฉัน ถ้าให้ทั้งฆาตกรทั้งเหยื่อตัดสินชะตากรรมกับโชคชะตาของตัวเอง อาจจะได้ความยุธรรมมากกว่าให้คนอื่นตัดสินให้ก็ได้นะ ให้คนอื่นตัดสินชะตากรรมของทั้งเหยื่อทั้งฆาตกรให้ แน่ใจเหรอว่าทั้งสองฝ่ายจะได้ความยุติธรรม? แน่ใจเหรอว่าคนที่มาตัดสินชะตากรรมกับโชคชะตาของเราจะยุติธรรม?"

ทันใดนั้น ก็มีเสียงคล้ายเสียงจักจั่นดังขึ้น แต่เสียงนั้นไม่เป็นธรรมชาติราวกับเสียงนั้นเป็นเสียงที่สังเคราะห์ขึ้น จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันก็ออกมาจากเมืองร้างนั้น

ครั้นจอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันออกมาจากเมืองร้างนั้น ก็มีจานบินสีเงินมาจากฟ้าลงจอดสู่พื้นดิน แล้วประตูจานบินก็เปิดออก มนุษย์ต่างดาวหน้าตาเหมือนชุดเกราะนักรบโรมันก็ออกมาจากจานบิน

มนุษย์ต่างดาวนั้นจึงว่า "มนุษย์โลก เรามาอย่างสันติ"

"โลก? ดูท้องฟ้าสิ มาทักทายมนุษย์โลกอย่างสันติในดินแดนที่ไม่ใช่โลกนี่เหรอ?"

"อ่า ก็ได้ เรามาเพื่อรุกรานโลก และพวกแกสองคนจำเป็นสำหรับเรา"

"สวัสดี ผู้รุกราน แต่ เรามือเปล่า ไม่มีปืนซักกระบอก ไม่จำเป็นสำหรับแกแล้วว่ะ อยากกินซูชิหน้าปลาดิบ ช่วยพาเรากลับบ้านหน่อยได้ไหม"

"เฮอะ จอห์นนี่"

"....! รู้ชื่อได้ยังไง?"

"แกเป็นคู่หูกับวัตสันแล้วอยู่บ้านเดียวกันกับวัตสันตั้งแต่เป็นคู่หูของวัตสันใช่ไหมล่ะ?"

"มนุษย์ต่างดาว.... เราติดอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ฉันเป็นแค่มนุษย์โลก ไม่รู้วิธีออกไปจากที่นี่ แกมาจากไหนก็ไม่รู้ จะทำยังไงแกก็พร้อมฆ่าเราตลอดเวลาใช่ไหมล่ะ?"

มนุษย์ต่างดาวได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า "เมื่อกี้แกบอกว่าแกเป็นมนุษย์โลกใช่ไหม? แกไม่รู้วิธีออกไปจากที่นี่ใช่ไหมล่ะ? ที่นี่ก็คือมิติที่4 มิติแห่งกาลเวลา ที่นี่คือที่ที่กำหนดชะตากรรมและความเป็นไปของทุกสิ่ง เป็นที่ที่กำหนดและบันทึกความเป็นไปของอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทุกอย่างถูกกำหนดไว้ใน อาคาชิ รีคอร์ด ใครก็ตามที่แก้อาคาชิ รีคอร์ด ขัดต่อกฎของจักรวาล ดังนั้นทุกคนต้องทำตามที่อาคาชิ รีคอร์ดบันทึกเอาไว้อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง และเรื่องที่มนุษย์กวาดล้างโนเนเลี่ยนเป็นเรื่องจริง โนเนเลี่ยนเป็นชาวโลกโดยชอบธรรม จอห์นนี่ แกเป็นมนุษย์ต่างดาว วัตสันเป็นสายเลือดของโนเนเลี่ยน"

"วัตสันเป็นโนเนเลี่ยน? วัตสันก็ไม่ได้หัวแหลมนี่ ไม่ได้หมายถึงโง่นะวัตสัน"

"วัตสันน่ะมีสายเลือดโนเนเลี่ยนอยู่ในตัว โนเนเลี่ยนโดนกวาดล้าง แต่ไม่ได้บอกว่าโนเนเลี่ยนสูญพันธุ์นะ มีโนเนเลี่ยนเหลือรอดและอยู่กินกับมนุษย์ แต่ไม่มีใครรับรู้ โนเนเลี่ยนกับมนุษย์มีลูกด้วยกัน วัตสันก็คือโนเนเลี่ยนที่เหลืออยู่จากการที่มนุษย์มีลูกกับโนเนเลี่ยนยังไงล่ะ"

"จะบอกว่าวัตสันเป็นมนุษย์เชื้อสายโนเนเลี่ยนเหรอ?"

"ใช่...."

จอห์นนี่เดินเข้าไปต่อยหน้ามนุษย์ต่างดาว เตะมนุษย์ต่างดาวล้มลงบนพื้นทราย แล้วจอห์นนี่ก็ขึ้นคร่อมต่อยหัวมนุษย์ต่างดาวอย่างหนัก

มนุษย์ต่างดาวจึงว่า "ฉันยังพูดไม่จบ ฉันบอกไปแล้วว่าอาคาชิ รีคอร์ด กำหนดความเป็นไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต วัตสันถูกกำหนดให้รู้ตัวตนที่แท้จริงของตัวเธอเอง ส่วนแก จอห์นนี่ แกถูกกำหนดให้ตัดสินชะตากรรมของมนุษย์ทั้งโลก"

จอห์นนี่ตอบว่า "แกบอกเองว่าเป็นมนุษย์ต่างดาวผู้รุกราน แกบอกเองว่าคนที่แก้อาคาชิ รีคอร์ด ขัดต่อกฎของจักรวาล หมายความว่า ใคร ๆ ก็แก้อาคาชิ รีคอร์ดได้ใช่ไหมล่ะ?"

"ฮ้า จงดู!" งูยักษ์แปดหัวแปดหางก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง แล้วมนุษย์ต่างดาวจึงว่า "เพื่อนแกบอกว่า สิ่งมีชีวิตในตำนานมีอยู่จริง แบ่งเป็นพวกที่มาจากอวกาศกับพวกที่เป็นสิ่งมีชีวิตบนโลก เพื่อนแกพูดถูก ยามาตะ โนะ โอโรจิ นั่นน่ะ เป็นสิ่งมีชีวิตจากอวกาศ ดูนั่น!" มนุษย์ต่างดาวชี้ไปที่ท้องฟ้า

สิ่งมีชีวิตนกอินทรีหัวสิงโตก็ปรากฏโบยบินอยู่บนท้องฟ้า

"นั่นคือสัตว์เลี้ยงของโนเนเลี่ยน"

ทันใดนั้นมังกรทองก็ออกมาจากเมืองร้าง แล้วมังกรทองจึงว่ากับจอห์นนี่ว่า "ถึงจะเป็นผู้รุกราน แต่สิ่งที่มนุษย์ต่างดาวจากกาแล็กซีแอนโดรเมดาผู้นั้นพูดเป็นความจริงทุกประการ"

"มนุษย์ต่างดาวจากกาแล็กซีแอนโดรเมดาผู้นั้นหาได้โกหกแต่อย่างใดไม่ เจ้าถูกอาคาชิ รีคอร์ดกำหนดให้เป็นกุมชะตากรรมของมนุษย์ทั้งโลก เจ้าจะเป็นผู้กำหนดว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ว่าจะอยู่ต่อหรือจะสูญพันธุ์ และวัตสัน ถูกอาคาชิ รีคอร์ดกำหนดให้มาพบเจ้าตั้งแต่แรก พวกเจ้าถูกอาคาชิ รีคอร์ดกำหนดให้ใครคนหนึ่งต้องตาย หากเจ้ากำหนดชะตากรรมให้เผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่รอด วัตสันจะถูกเจ้าฆ่าตาย หากไม่ วัตสันถูกอาคาชิ รีคอร์ดกำหนดให้ฆ่าเจ้าตาย"

แล้วก็มีแท่งหินขนาดใหญ่สีดำโผล่ขึ้นมาจากพื้นทราย มังกรทองจึงว่า "นั่นแหละคืออาคาชิ รีคอร์ด หากเจ้าสัมผัสเจ้าจะรู้ทุกสิ่งที่อาคาชิ รีคอร์ดกำหนดไว้" จอห์นนี่ได้ฟังดังนั้นก็เดินไปที่แท่งหินสีดำนั้น จอห์นนี่ใช้มือแตะแท่งหินสีดำนั้น แล้วจอห์นนี่ก็เห็นภาพ จอห์นนี่ใช้ปืนยิงนักสืบหญิงวัตสันตาย มนุษย์พัฒนาเทคโนโลยีจนถึงขนาดสร้างสถานีรถไฟอวกาศได้ จากนั้น ภาพที่จอห์นนี่เห็นก็เปลี่ยนไปเป็นจอห์นนี่ถูกนักสืบหญิงวัตสันใช้ปืนยิงตาย ตึกระฟ้าทั้งหมดของมนุษย์ถูกไฟครอก ครั้นจอห์นนี่เห็นภาพทั้งหมดนั้นแล้วก็เอามือออกจากแท่งหินสีดำ จากนั้นมนุษย์ต่างดาวก็โยนปืนพกให้จอห์นนี่กับนักสืบหญิงวัตสันคนละกระบอก แล้วมนุษย์ต่างดาวนั้นจึงว่า "เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ? คนหนึ่งต้องตายเพื่อตัดสินชะตากรรมของทั้งเผ่าพันธุ์"

นักสืบหญิงวัตสันหยิบปืนพกที่อยู่หน้าตนขึ้นมาเล็งไปที่จอห์นนี่ มนุษย์ต่างดาวจึงว่า "เห็นแล้วใช่ไหมล่ะ จอห์นนี่? วัตสัน เธอต้องตัดสินชะตากรรมของเผ่าพันธุ์โนเนเลี่ยนของเธอ มนุษย์จะรอดหรือจะสูญพันธุ์แล้วโนเนเลี่ยนจะกลับมาครองโลกต่อ?"

นักสืบหญิงวัตสันจึงว่า "ต่อให้ฉันเป็นโนเนเลี่ยน ต่อให้มนุษย์เป็นมนุษย์ต่างดาว ต่อให้จอห์นนี่เป็นมนุษย์ต่างดาว ฉันจะไม่ฆ่าจอห์นนี่ ฉันจะเป็นคู่หูของจอห์นนี่ตลอดไป" แล้วนักสืบหญิงวัตสันก็ทิ้งปืนลงกับพื้น

จอห์นนี่หยิบปืนพกบนพื้นที่อยู่หน้าตนขึ้นมา แล้วจอห์นนี่ก็ใช้ปืนพกยิงแท่งหินสีดำจนกระสุนหมด แท่งหินสีดำที่ถูกยิงกระจุยก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ แล้วจอห์นนี่จึงว่า "ผู้เฝ้าดูวิวัฒนาการ บอกเองไม่ใช่เหรอว่า ไม่มีหน้าที่ตัดสินชะตากรรมกับโชคชะตาของดาวเคราะห์ ผู้ที่ครองดาวเคราะห์ดวงนั้นจะเป็นผู้ตัดสินเอง ฉันขอตัดสินชะตากรรมและโชคชะตาของตัวฉันเอง ไม่ใช่ให้อาคาชิ รีคอร์ดมากำหนดให้ ถ้าชะตากรรมและโชคชะตามีจริง ฉันจะทำลายมันทิ้งเอง ฉันจะขอกำหนดชะตากรรมและโชคชะตาของฉันเอง คนที่ประสบความสำเร็จไม่ใช่คนฉลาดไม่ใช่คนเก่งแต่เป็นแค่คนที่โชคดีเหรอ บอกไปแล้วถ้าชะตากรรมและโชคชะตามีจริง ฉันจะทำลายมันทิ้งเอง ฉันไม่ต้องการให้โชคชะตามีจริง จะโชคดีหรือโชคร้าย ฉันจะสร้างมันขึ้นมาเอง! ไม่ใช่ให้มันกำหนดให้"

มนุษย์ต่างดาวก็ใช้ปืนประหลาดยิงกระสุนแสงสีน้ำเงินไปที่หน้าท้องของนักสืบหญิงวัตสันจนเลือดพุ่งดังน้ำพุแล้วล้มลง

"วัตสัน!!!!"

จอห์นนี่กระโดดหยิบปืนพกที่นักสืบหญิงวัตสันทิ้งไว้ยิงอกมนุษย์ต่างดาวจนล้มลง จอห์นนี่ทิ้งปืนพกลงกับพื้น แล้วจอห์นนี่ก็วิ่งไปหานักสืบหญิงวัตสัน นักสืบหญิงวัตสันก็ถามจอห์นนี่ว่า "จอห์นนี่อยากเป็นคู่หูกับเราตลอดไปไหม?" จอห์นนี่ก็ว่า "วัตสันอยากเป็นคู่หูกับผมตลอดไปไหมล่ะ? ทำไมวัตสันถึงเป็นคู่หูผมล่ะ? ป่านนี้ผมยังไม่รู้เลย" นักสืบหญิงวัตสันจึงตอบว่า "ตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ช่างมันเถอะน่า เราดีใจนะ ที่ได้เป็นคู่หูกับจอห์นนี่ เพราะงี้ไง เราถึงได้ถามว่าจอห์นนี่อยากเป็นคู่หูกับเราตลอดไปไหม เพราะเราอยากเป็นคู่หูกับจอห์นนี่ตลอดไป" จอห์นนี่จึงว่า "จอห์นนี่เป็นคู่หูของวัตสันตลอดไป ประโยคนี้ถูกต้องกว่า จอห์นนี่เป็นคู่หูของวัตสันชั่วนิรันดร์" นักสืบหญิงวัตสันก็ยกมือซ้ายขึ้นมา จอห์นนี่ก็ใช้มือซ้ายของตนจับมือซ้ายของนักสืบหญิงวัตสันไว้ นักสืบหญิงวัตสันจึงว่า "วัตสันเป็นคู่หูของจอห์นนี่ชั่วนิรันดร์"

จอห์นนี่ก็ว่า "ผมจะปล่อยให้วัตสันตายได้ยังไงกันล่ะ" แล้วจอห์นนี่ก็ปลดกระดุมเสื้อตรงหน้าท้องของนักสืบหญิงวัตสันนั้นออก ก็ให้เห็นแผลทะลุขนาดใหญ่นองไปด้วยเลือด แล้วจอห์นนี่ก็หันไปถามมังกรทองว่า "ผู้เฝ้าดูวิวัฒนาการ รู้วิธีออกจากมิติที่สี่หรือเปล่า?" มังกรทองตอบว่า "รู้ ประตูมิติที่ใช้เข้าออกมิติที่สี่อยู่ด้านซ้ายมือเจ้า" จอห์นนี่ก็อุ้มนักสืบหญิงวัตสันวิ่งไปตามทางที่มังกรทองบอก แล้วจอห์นนี่ก็วิ่งทะลุประตูมิตินั้นไปแล้วก็มาอยู่ภายในของบ้านของนักสืบหญิงวัตสัน แล้วจอห์นนี่ก็หาผ้าผืนใหญ่มาผืนหนึ่ง เอาน้ำแข็งหลายก้อนออกมาจากตู้เย็นใส่ลงผ้านั้นแล้วใช้ผ้านั้นห่อน้ำแข็งไว้ แล้วเอาผ้าห่อน้ำแข็งนั้นไปประคบที่แผลหน้าท้องของนักสืบหญิงวัตสันไว้ แล้วจอห์นนี่ก็วิ่งไปหาแผนที่บอกเส้นทางไปโรงพยาบาล ครั้นจอห์นนี่เจอแผนที่แล้วก็ใช้ปากคาบแผนที่นั้นไว้ แล้ววิ่งมาหานักสืบหญิงวัตสันที่ประคบน้ำแข็งไว้ แล้วจอห์นนี่ก็อุ้มนักสืบหญิงวัตสันแล้ววิ่งจะไปโรงพยาบาล

แล้วทุกสิ่งก็หายไปอย่างกระทันหัน กลับเข้าสู่ทะเลทรายของมิติที่สี่อีกครั้ง แล้วมนุษย์ต่างดาวหน้าตาเหมือนเกราะนักรบโรมันผู้นั้น ก็ลุกขึ้นมาจากพื้นแล้วว่า "ที่พวกแกเข้ามาในมิติที่สี่ก็เพราะฉัน เราจะลากแกเข้ามาในมิติที่สี่อีกกี่ครั้งก็ได้" จอห์นนี่ได้ฟังดังนั้นก็หันหลังกลับจะไปผ่านประตูมิติ ประตูมิติก็หายไป แล้วมนุษย์ต่างดาวก็บอกว่า "เราทำลายประตูมิติหรือสร้างประตูมิติขึ้นมาใหม่ตอนไหนก็ได้ เราทำลายประตูมิติไปแล้ว ถ้าแกอยากให้วัตสันรอดตาย นี่คือยาที่รักษาได้ทุกอย่าง" มนุษย์ต่างดาวชูมือขวาที่ถือกล่องใสใส่ยาเม็ดสีแดงไว้หลายเม็ด จอห์นนี่ก็หันไปหามังกรทอง "ผู้เฝ้าดูวิวัฒนาการ" มังกรทองก็ตอบจอห์นนี่ว่า "มนุษย์ต่างดาวจากกาแล็กซีแอนโดรเมดาพูดความจริง หากเจ้าให้ยานั้นแก่วัตสัน แผลของวัตสันจะหายเป็นปลิดทิ้ง วัตสันจักรอดตาย" จอห์นนี่ก็วางวัตสันลงกับพื้นแล้ววิ่งเข้าไปหามนุษย์ต่างดาวนั้น มนุษย์ต่างดาวนั้นก็ใช้ปืนประหลาดยิงกระสุนแสงสีน้ำเงินยิงขาซ้ายของจอห์นนี่จนทะลุ จอห์นนี่ก็วิ่งด้วยขาขวาข้างเดียว มนุษย์ต่างดาวก็ใช้ปืนประหลาดยิงกระสุนแสงสีน้ำเงินโดนขาขวาจอห์นนี่ทะลุ จอห์นนี่ก็ใช้แขนทั้งสองข้างช่วยคลายเข้าไปหามนุษย์ต่างดาวจับข้อเท้ามนุษย์ต่างดาวจนมนุษย์ต่างดาวล้มลง จอห์นนี่ก็ต่อยข้อมือมนุษย์ต่างดาวนั้น จนมนุษย์ต่างดาวนั้นปล่อยปืนประหลาดหลุดออกจากมือ จอห์นนี่ก็หยิบปืนประหลาดนั้นมา งูยักษ์แปดหัวแปดหางก็เลื้อยเข้ามาหาจอห์นนี่ แล้วงูยักษ์ก็ใช้หัวทั้งแปดฟาดจอห์นนี่จนกระเด็นลอยไป จอห์นนี่ก็คลานไปหามนุษย์ต่างดาวนั้น ครั้นใกล้ถึงมนุษย์ต่างดาว จอห์นนี่ก็ใช้มือขวายิงปืนประหลาดยิงหัวทั้งแปดของงูยักษ์ที่อยู่ใกล้นั้น จนงูยักษ์นั้นทั้งแปดหัวขาดตาย แล้วจอห์นนี่ก็คลานไปถึงมนุษย์ต่างดาว จอห์นนี่ก็ใช้ปืนประหลาดยิงกระสุนแสงสีน้ำเงินใส่คอมนุษย์ต่างดาว มนุษย์ต่างดาวนั้นล้มลง แล้วจอห์นนี่ก็คลานจะไปเอายาในกล่องใสของมนุษย์ต่างดาวนั้น มนุษย์ต่างดาวนั้นใช้แรงเฮือกสุดท้ายหยิบปืนพกที่จอห์นนี่ทิ้งไว้ยิงแขนซ้ายจอห์นนี่ จอห์นนี่ก็ใช้แขนขวาข้างเดียวช่วยดันตัวเองเข้าไป มนุษย์ต่างดาวเล็งปืนพกไปที่แขนขวาของจอห์นนี่ จอห์นนี่เล็งปืนประหลาดไปที่หัวของมนุษย์ต่างดาว จอห์นนี่กับมนุษย์ต่างดาวยิงปืนพร้อมกัน จอห์นนี่โดนยิงแขนขวาทะลุ ส่วนมนุษย์ต่างดาวนั้นโดนกระสุนแสงสีน้ำเงินทะลุหัวจนนอนตายกับพื้น

จอห์นนี่นั้น ขาซ้ายใช้ไม่ได้ ขาขวาใช้ไม่ได้ แขนซ้ายใช้ไม่ได้ แขนขวาใช้ไม่ได้ ก็ใช้ตัวเลื้อยไปดังงู ถึงมือขวาศพมนุษย์ต่างดาวที่ถือกล่องยาไว้ จอห์นนี่ก็ใช้ปากคาบกล่องยานั้น แล้วก็ใช้ตัวเลื้อยไปดังงูไปหานักสืบหญิงวัตสันที่นอนอยู่บนพื้น ครั้นจอห์นนี่เลื้อยถึงตัวนักสืบหญิงวัตสันแล้ว จอห์นนี่ก็ใช้ปากเปิดกล่องยานั้น แล้วใช้ปากคาบเม็ดยาสีแดงขึ้นมาเม็ดหนึ่ง แล้วป้อนยาเม็ดสีแดงนั้นให้นักสืบหญิงวัตสันด้วยปาก ยาเม็ดสีแดงเข้าปากนักสืบหญิงวัตสันไป มังกรทองถามจอห์นนี่ว่า "ยานั้นรักษาได้ทุกอย่าง หากเจ้ากิน เจ้าก็จักหาย แขนขาจะใช้ได้ดังเดิม เจ้าจะไม่กินก่อนหรือ?" จอห์นนี่ก็ตอบว่า "ถ้าวัตสันไม่หาย ผมก็จะไม่กินยา" แม้ยาสีแดงจะเข้าปากนักสืบหญิงวัตสันไปแล้ว ก็หามีอันใดเกิดขึ้น วัตสันยังคงนอนนิ่ง จอห์นนี่ก็ใช้ข้างหัวปั๊มหัวใจนักสืบหญิงวัตสันซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนจอห์นนี่นั้นเหงื่อออกไปทั้งตัว ครั้นแล้วจอห์นนี่ก็ใช้ปากผายปอดนักสืบหญิงวัตสัน แต่นักสืบหญิงวัตสันก็ไม่ฟื้นขึ้นมา จอห์นนี่ใช้หูตนแนบจมูกนักสืบหญิงวัตสัน ไม่มีเสียงหายใจ จอห์นนี่สัมผัสลมหายใจของนักสืบหญิงวัตสันไม่ได้ ครั้นจอห์นนี่ใช้หูแนบหัวใจของนักสืบหญิงวัตสัน หัวใจของนักสืบหญิงวัตสันไม่เต้น

มังกรทองเห็นดังนั้นจึงพูดว่า "ยานั้นรักษาทุกอย่างได้จริง แต่มิอาจฟื้นคืนคนที่ตายไปแล้วได้" พูดดังนั้นแล้วมังกรทองก็บินลับหายไป

จอห์นนี่ยังคงแนบกับหัวใจของนักสืบหญิงวัตสัน แล้วจอห์นนี่ก็พูดว่า "วัตสันเป็นคู่หูของจอห์นนี่ชั่วนิรันดร์" จอห์นนี่จึงหลับตา ท่ามกลางทะเลทรายที่ฟ้าใสของมิติที่สี่ ที่ลมพัดแรงดังชายทะเลยามเช้า แล้วจอห์นนี่ก็ตายตามนักสืบหญิงวัตสันไปทั้งที่นอนแนบหัวใจของนักสืบหญิงวัตสันนั้น ท่ามกลางสายลมอันอ่อนโยน  "

ครั้นจบเรื่องเล่ารอบกองไฟที่นพพรเล่ามาดังนี้แล้ว ทุกคนรอบกองไฟก็เงียบไป มิได้พูดกระไรต่อ

โหยถามนพพรว่า "จบแล้วเหรอ?" นพพรก็ตอบว่า "เออ จบแล้ว ตัวเอกตายแล้ว จะให้มีภาคสองต่อเหรอ?"

จบ

วันพุธที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2566

10 นักเขียนนานาชาติ

 10 นักเขียนนานาชาติ

Franz Kafka [a] (3 กรกฎาคม พ.ศ. 2426 - 3 มิถุนายน พ.ศ. 2467) เป็นนักประพันธ์และนักเขียนเรื่องสั้นชาวโบฮีเมียนที่พูดภาษาเยอรมัน ซึ่งมีฐานอยู่ใน ปราก ซึ่งได้รับการยกย่อง อย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญของวรรณกรรมในศตวรรษที่ 20 งานของเขาผสมผสานองค์ประกอบของความสมจริงและความมหัศจรรย์เข้าด้วยกัน [4]โดยทั่วไปจะมีตัวละครเอกโดดเดี่ยวที่เผชิญกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดหรือเหนือจริงและอำนาจ ทางสังคม และราชการ ที่ไม่อาจเข้าใจได้ มันถูกตีความว่าเป็นการสำรวจประเด็นเรื่องความแปลกแยกความวิตกกังวลที่มีอยู่ความรู้สึกผิดและความไร้เหตุผล [5]ผลงานที่รู้จักกันดี ที่สุดของเขา ได้แก่ โนเวลลาThe MetamorphosisและนวนิยายThe TrialและThe Castle คำว่าKafkaesqueเข้ามาเป็นภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายสถานการณ์ที่ไร้สาระเหมือนกับที่ปรากฎในงานเขียนของเขา [6]

มิเกล เด เซร์บันเตส

ขอบเขตทางศิลปะ

ดอน กิโฆเต้ และ ซานโช ปันซาโดยHonoré Daumier สีน้ำมันบนผ้าใบ . นิว ปินาโคเทค .

Cervantes เป็นต้นฉบับมาก ด้วยการล้อเลียนประเภทที่เริ่มจางหายไป เช่น หนังสือเกี่ยวกับอัศวินเขาได้สร้างประเภทที่มีชีวิตชีวาอย่างยิ่งอีกประเภทหนึ่ง นั่นคือนวนิยายโพลีโฟนิก ที่ซึ่งโลกทัศน์และมุมมองซ้อนทับกันจนกระทั่งพวกเขาสับสนในความซับซ้อนกับความเป็นจริง แม้กระทั่งหันไปพึ่งเกมmetafictional . ในช่วงเวลานั้น มหากาพย์สามารถเขียนเป็นร้อยแก้วได้ และด้วยแบบอย่างในโรงละครที่ไม่ค่อยให้ความเคารพต่อแบบจำลองคลาสสิกของ Lope de Vega จึงตกเป็นหน้าที่ของเขาในระยะสั้นที่จะสร้างสูตรของความสมจริงในการเล่าเรื่องอย่างที่เคยเป็นมาประกาศล่วงหน้าในสเปน โดยประเพณีวรรณกรรมทั้งหมดจากSong of Mío Cidโดยเสนอให้ยุโรปซึ่งเซร์บันเตสมีสาวกมากกว่าในสเปน นวนิยายสมจริงทั้งหมดของ  ศตวรรษ ที่ 19โดดเด่นด้วยคำสอนนี้ ในทางกลับกัน ผลงานชิ้นเอกที่ยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งของ Cervantes นวนิยายที่เป็นแบบอย่าง แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของจิตวิญญาณของเขาและความปรารถนาที่จะทดลองใช้โครงสร้างการเล่าเรื่อง. ในคอลเลกชันนวนิยายนี้ ผู้แต่งทดลองกับนวนิยายไบแซนไทน์ ( The English Spanish ) นวนิยาย นักสืบ หรืออาชญากรรม ( La fuerza de la sangre , El celoso Extremadura ) บทสนทนาของ Lucianesque ( El colloquio de los perros ) เรื่องราวเบ็ดเตล็ดของ ประโยคและการบริจาค (El licenciado Vidriera ) นวนิยายปิกาเรสก์ ( Rinconete y Cortadillo ) คำบรรยายที่มีพื้นฐานมาจากการวินิจฉัย ( La gitanilla ) ฯลฯ

งานของเซร์บันเตส

นวนิยาย

Miguel de Cervantes ปลูกฝังแนวการ เล่า เรื่อง ตามปกติในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 แต่ด้วยวิธีดั้งเดิมของเขา ได้แก่  นวนิยายไบแซนไทน์นวนิยายอภิบาลนวนิยายปิกาเรสก์ นวนิยายมัวร์ ถ้อยคำเสียดสี Lucianesque เบ็ดเตล็ด เขาได้ต่ออายุประเภทนวนิยายซึ่งต่อมาเข้าใจในภาษาอิตาลีว่าเป็นเพียงเรื่องสั้น ปราศจากวาทศาสตร์และมีความสำคัญมากกว่า

เชคอฟ, แอนตัน ปาฟโลวิชราวในเวลาต่อมาของเขาเต็มไปด้วยเสียงร้องทางจิตวิญญาณภายใน: "มันเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตแบบนี้อีกต่อไป!" M. Gorky เขียนเกี่ยวกับความสำคัญของงานของ Chekhov ไม่ได้ระบุแหล่งที่มา 302 วัน ] :

ไม่มีใครเข้าใจอย่างชัดเจนและละเอียดอ่อนเท่ากับ Anton Chekhov โศกนาฏกรรมของสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตไม่มีใครก่อนหน้าเขาที่สามารถวาดภาพชีวิตที่น่าอับอายและน่าสยดสยองให้กับผู้คนได้อย่างไร้ความปราณีตามความจริงในความวุ่นวายที่น่าเบื่อของชีวิตประจำวันของชาวฟิลิสเตีย ศัตรูของเขาเป็นคนหยาบคาย เขาต่อสู้กับมันมาตลอดชีวิต เขาเยาะเย้ยเธอ และวาดภาพเธอด้วยปากกาที่คมกริบไร้ความหลงใหล สามารถค้นพบเสน่ห์แห่งความหยาบคายได้ แม้เมื่อมองแวบแรกดูเหมือนว่าทุกอย่างถูกจัดวางอย่างดี สะดวก แม้จะฉลาดก็ตาม .. .

กุสตาฟ โฟลเบิร์ตงานโฟลแบร์เทียน

ในการปรับเปลี่ยน

Flaubert เป็นคนร่วมสมัยของCharles Baudelaireและเขาก็มีตำแหน่งสำคัญในวรรณคดีแห่งศตวรรษที่ 19 เช่น  เดียว กับเขา ทั้งสองโต้แย้ง (ด้วยเหตุผลทางศีลธรรม) และชื่นชม (สำหรับพลังทางวรรณกรรมของเขา) ในยุคของเขา ปัจจุบันเขาปรากฏว่าเป็นหนึ่งในนักประพันธ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Madame Bovary นวนิยายที่ก่อตั้งBovarysmจากนั้น Sentimental Education  ; มันอยู่ระหว่างนวนิยายแนวจิตวิทยา ( Stendhal ) และขบวนการนักธรรมชาติวิทยา ( Zola , Maupassantซึ่งเรื่องหลังถือว่า Flaubert เป็นเจ้านายของพวกเขา) โดดเด่นด้วยผลงานของHonoré de Balzacซึ่งเขาหยิบหัวข้อขึ้นมาอีกครั้งในรูปแบบส่วนตัว ( Sentimental Educationเป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งของ Le Lys dans la vallée , Madame Bovaryได้รับแรงบันดาลใจจากLa Femme de Trente Ans ) [ 21 ]เขาเป็นส่วนหนึ่งของเชื้อสายของเขา นวนิยายสัจนิยม นอกจากนี้ เขายังหมกมุ่นอยู่กับสุนทรียภาพดังนั้นงานแต่ละชิ้นของเขาจึงทำงานอย่างละเอียดอย่างละเอียด (เขาทดสอบข้อความของเขาโดยทดสอบบททดสอบ "gueuloir" อันโด่งดัง ซึ่งประกอบด้วยการอ่านออกเสียง บางครั้งนานหลายชั่วโมง[ 22 ] , [ 23 ] , [ 24 ]). แต่เขาหมกมุ่นอยู่กับตัวอย่างของHonoré de Balzac พ่อ นักวรรณกรรม ของเขา มาก จนใครๆ ก็พบคำสั่งนี้ในบันทึกของเขา: "อยู่ห่างจากLys ในหุบเขาระวังLys ในหุบเขา[ 25 ]  "

มันก็มักจะถูกเน้นย้ำถึงความปรารถนาของ Flaubert ที่จะต่อต้านสุนทรียศาสตร์ของนวนิยายต่อเนื่องโดยการเขียน"นวนิยายเรื่องความเชื่องช้า " [ 26 ]

ในที่สุด มุมมองที่น่าขันและมองโลกในแง่ร้ายของเขาต่อมนุษยชาติทำให้เขากลายเป็นคนมีศีลธรรมที่ดี พจนานุกรมแนวคิดที่ได้รับ ของเขาให้ภาพรวมของความสามารถพิเศษนี้

จดหมายโต้ตอบของเขากับLouise Colet , George Sand , Maxime Du Campและคนอื่นๆ ได้รับการตีพิมพ์เป็นห้าเล่มในBibliothèque de la Pléiade

Jules Verneวิเคราะห์ผลงาน

แหล่งที่มาและอิทธิพล

การแสดงรายการแหล่งข้อมูลทั้งหมดที่ Verne ใช้นั้นไม่สามารถสรุปได้ครบถ้วน แต่สามารถสังเกตได้ว่างานส่วนใหญ่ของเขามุ่งเน้นไปที่เวลา ของ เขาเองในความทรงจำในวัยเด็กและวัยเยาว์ ของเขา Jules Verne กระตุ้นให้เกิดอิทธิพลบางประการ:

"ฉันรู้เงื่อนไขของทะเลอยู่แล้ว และฉันเข้าใจกลยุทธ์ดีพอที่จะติดตามมันในนวนิยายเกี่ยวกับการเดินเรือของเฟนิมอร์ คูเปอร์ซึ่งฉันไม่สามารถเบื่อที่จะอ่านซ้ำด้วยความชื่นชม" [ 351 ]

นอกจากนี้เขายังเขียนว่า เขาชื่นชมJohann David Wyss ' Swiss Robinsonมากกว่าRobinson CrusoeของDaniel Defoe อีก ด้วย

สำหรับMarie A. Bellocที่มาสัมภาษณ์เขา เขาอธิบายวิธีการทำงานของเขาว่า"[...] นานมาแล้วก่อนที่จะมาเป็นนักประพันธ์ ฉันมักจะจดบันทึกมากมายขณะอ่านหนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือวารสารทางวิทยาศาสตร์ บันทึกเหล่านี้ได้รับการจัดประเภทตาม หัวข้อที่เกี่ยวข้อง และฉันแทบไม่ต้องบอกคุณเลยว่าเนื้อหานี้มีค่าเพียงใด” [ 352 Belloc สังเกตว่าบันทึกเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในตู้เก็บของกระดาษแข็ง สิ่งเหล่านี้ถูกเก็บไว้ที่ห้องสมุดเทศบาลอาเมียงส์ (กองทุนปิเอโร กอนโดโล เดลลา ริวา[ 353 ]

ในบรรดานิตยสารที่เขาใช้มากที่สุดLe Tour du mondeซึ่งเป็นวารสารการเดินทางและBulletin of the Geographical Societyมีความโดดเด่น[ 354 นอกจากนี้ยังมีการบันทึกไว้ในFamily Museum , The Picturesque Store , La Science illustrée , The Illustrated Universe , Maritime and Colonial Review , Education and Recreation Store หรือแม้แต่ในParis Medical Gazette [ 355 ]

งานวรรณกรรมของเขาติดต่อกับนักเขียนหลายคนเช่นVictor Hugo , Walter Scott , Charles Dickens , Robert Louis Stevenson , Alexandre Dumas , George Sand , Edgar Allan Poe , Guy de Maupassant , Émile Zola , Charles Baudelaire ... สำหรับโคตรของเขา[ 356 ]หรือXavier de Maistre , Chateaubriand , ETA Hoffmann ... สำหรับผู้ที่อยู่ข้างหน้าเขา[ 357 ] .

โดยเฉพาะด้านวิทยาศาสตร์ เขาเรียกญาติ เช่นJoseph BertrandหรือHenri Garcetสำหรับวิชาคณิตศาสตร์[ 358 ] Albert Badoureauสำหรับฟิสิกส์[ 359 ]หรือPaul น้อง ชาย ของเขา สำหรับการนำทาง[ 360 ]

รูปแบบและโครงสร้างการเล่าเรื่อง

" Jules Verne ! สไตล์ไหน! ไม่มีอะไรนอกจากคำนาม! »

—  กิโยม อะพอลลิแนร์[ 361 ] .

หลังจากงานวิจัยเบื้องต้นในหัวข้อที่เขาเลือก Jules Verne ได้กำหนดแนวหลักของนวนิยายในอนาคตของเขา: "ฉันไม่เคยเริ่มอ่านหนังสือโดยไม่รู้ว่าจุดเริ่มต้น ตรงกลาง และจุดสิ้นสุดจะเป็นอย่างไร" [ 362 ] . จากนั้นเขาก็ร่างโครงร่างของบทต่างๆ และเริ่มเขียนเวอร์ชันแรกด้วยดินสอทิ้งระยะไว้ครึ่งหน้าเพื่อแก้ไข" [ 362 จากนั้นเขาก็อ่านเรื่องทั้งหมดและเขียนทับด้วยหมึก เขาถือว่างานที่แท้จริงของเขาเริ่มต้นด้วยการพิสูจน์ชุดแรก จากนั้นเขาก็แก้ไขแต่ละประโยคและเขียนใหม่ทั้งบท[ 363 ]ต้นฉบับของ Jules Verne เป็นพยานถึงงานสำคัญของการแก้ไข การเพิ่มเติม การเขียนใหม่ซึ่งเขาดำเนินการ และการวิพากษ์วิจารณ์และบันทึกต่างๆ มากมายของบรรณาธิการของเขา[ 364 เป้าหมายของเขาคือการเป็นสไตลิสต์ตัวจริงในขณะที่เขาเขียนถึง Hetzel:

“คุณบอกฉันใจดีและแม้กระทั่งสิ่งที่ประจบสอพลอเกี่ยวกับสไตล์การพัฒนาของฉัน แน่นอนว่าคุณต้องพาดพิงถึงข้อความเชิงพรรณนาที่ฉันปรับใช้อย่างดีที่สุด [...] สงสัยนะว่าไม่อยากเติมหวานให้ฉันสักหน่อยเหรอ? ฉันรับรองกับคุณผู้อำนวยการคนดีของฉัน ไม่มีอะไรที่จะทำให้เป็นสีน้ำตาล ฉันกลืนอย่างถูกต้องและไม่ได้เตรียมตัวเลย [...] ทั้งหมดนี้เพื่อบอกคุณว่าฉันพยายามที่จะเป็น นักออกแบบมากแค่ไหน(คือ Jules Verne ที่ขีดเส้นใต้) แต่จริงจัง; มันเป็นความคิดตลอดชีวิตของฉัน [...]” [ 365 ] .

ในจดหมายถึงMario Turiello [ 366 ] Jules Verne อธิบายวิธีการของเขาว่า“สำหรับแต่ละประเทศใหม่ ผมต้องจินตนาการถึงนิทานเรื่องใหม่ ตัวละครเป็นเพียงรองเท่านั้น

Jean-Paul Dekissศึกษาสไตล์ของ Jules Verne เขียนว่า“ความสัมพันธ์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเขากับการศึกษาทำให้ Jules Verne เป็นนักเขียนสำหรับเด็ก ความสนใจด้านสารคดีที่เขานำเสนอต่อวิทยาศาสตร์ทำให้เขากลายเป็นนักเขียนทางวิทยาศาสตร์ ความสำเร็จในความคาดหมายของเขา ผู้แต่งนิยายวิทยาศาสตร์; การผจญภัยทำให้เขาได้รับการจำแนกโดยนักวิจารณ์วรรณกรรมว่าเป็นนักเขียนยอดนิยมอันดับสอง โดยพื้นฐานแล้วการผลักไสการวิเคราะห์ทางจิตสังคมนั้นถือว่าไม่มีความลึก รูปแบบที่โปร่งใสถูกเปลี่ยนให้เป็นสไตล์ที่ไม่มีอยู่จริง เข้าใจ ผิดอะไรอย่างนี้!...” [ 367 ]

นักเขียนบางคนยกย่องสไตล์ของ Jules Verne เช่นRay Bradbury , Jean Cocteau , Jean-Marie Le Clézio , Michel Serres [ 368 ] , Raymond Roussel , Michel Butor , Péter Esterházy [ 369 ]และJulien Gracq [ 370 ] , Régis เดเบรย์[ 371 ] . มิเชล ไลริสเขียนว่า: “พระองค์จะคงอยู่ เมื่อผู้เขียนคนอื่นๆ ในยุคของเราถูกลืมไปนานแล้ว” [ 372 ] .

จูลส์ เวิร์นจึงใช้การผจญภัยในนวนิยาย ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ เทคนิค และวิทยาศาสตร์ ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างจินตนาการ เขาไม่ได้หยุดอยู่เพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ และผ่านความรู้ ใช้ประโยชน์จากแหล่งที่มาของเขาเพื่อไปไกลกว่าความเป็นจริง “พวกเขาทำให้ตัวละครและการกระทำของพวกเขามีความโปร่งใส เป็นความสว่างโดยเฉพาะซึ่งเป็นความฝัน มนต์เสน่ห์ และตำนาน ” [ 373 แดเนียล คอมเปเรกล่าวเพิ่มเติมว่า:“เวิร์นมีแนวโน้มที่จะสวมความเป็นจริง นำเสนอตัวละครและเหตุการณ์สมมติลงในเรื่องราวและคำอธิบายที่เขาอ่าน แนวโน้มนี้ยังพบได้ในเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่เวิร์นอุทิศให้กับนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงศตวรรษ ที่19  ” [ 374 ]

ธีมส์

การ์ตูนโดย Jules Verne “จะรวบรวมข้อมูลที่แท้จริงเกี่ยวกับโลกใต้ทะเลจากแหล่งที่ถูกต้อง” ตีพิมพ์ในวารสาร d'Oran , 1884.

เบื้องหลังความหลากหลายที่ชัดเจน ประเด็นสำคัญที่ทำให้งานของ Jules Verne มีความสามัคคีอย่างลึกซึ้ง แทบไม่มีการระบุไว้ในผลงานบางชิ้น แต่บางชิ้นก็กลายเป็นแก่นของเรื่อง ตัวอย่างง่ายๆรังสีสีเขียว อันโด่งดังนี้ ซึ่งตั้งชื่อให้กับนวนิยายปี 1882 ได้ถูกกล่าวถึงแล้วในงานก่อนหน้านี้และจะมีอยู่ในนวนิยายเรื่องต่อ ๆ ไปด้วย หัวข้อเหล่านี้ของ Ariadne ให้การ เชื่อม โยงกันกับงานเขียนทั้งหมดของ Verne ทุกรูปแบบรวมกัน (เรื่องสั้น โรงละครVoyages extraordinairesภาพร่าง บทกวี) [ 375 ]

ตัวละคร

ตัวละครใน ผลงานของ Jules Verne มีการศึกษาหลาย เรื่อง ในบรรดาสิ่งหลัก:

  • Francois Angelier , พจนานุกรมจูลส์ เวิร์น. สิ่งแวดล้อม ตัวละคร สถานที่ ผลงาน , Pygmalion, 2549
  • Maryse Ducreu-Petit ตัวละครตัวที่สองและเพิ่มตัวละครเป็นสองเท่าใน Jean Bessière, Modernités de Jules Verne , PUF, 1988, p.  139-155
  • René Escaich ตัวละครและตัวละครในการเดินทางผ่านโลก Vernianฉบับ La Boëtie, 1951, p.  149-171
  • Cornelis Helling ตัวละครที่แท้จริงในผลงานของ Jules Verne , Bulletin de la Société Jules-Verne no 2 ,  1936, p.  68-75
  • Claude Lengrand, Dictionary of "Extraordinary Voyages" , เล่มที่ 1, Encrage, 1998, พจนานุกรมตัวละคร , หน้า 1.  75-267
  • ลุค คาสแซร์ ภายใต้การดูแลของ ฌาค นัวเรย์ ระบบตัวละครใน The Extraordinary Voyages of Jules Verneวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกวรรณคดีฝรั่งเศส Paris IV-Sorbonne, 1999, 671 หน้า ใน 3 เล่ม
  • Alexandre Tarrieu , ผู้หญิง, ฉันรักคุณ (ศึกษาตัวละคร) (เกี่ยวกับตัวละครหญิงทุกตัวในงาน), Revue Jules Verne no 9  , 2000, p.  71-116
    • 117 วีรบุรุษและตัวละครสำหรับการทัวร์สหรัฐอเมริกา , Jules Verne Review No. 15  (สำหรับอักขระอเมริกัน), 2003
    • นักดาราศาสตร์ในงานของ Jules Verne , Revue Jules Verne no 21  , 2006

ต่อต้านกลุ่มเซมิติกและแบ่งแยกเชื้อชาติ Topoi

หาก Jules Verne มีอิทธิพลต่อผู้อ่านและนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ รุ่น ต่อรุ่น งานของเขาก็โดดเด่นจากโทโปอีทางวรรณกรรมในสมัยของเขา

ภาพเหมา รวม เกี่ยวกับการต่อต้านยิวมีอยู่ในงานบางชิ้น[ 377 ]โดยเฉพาะอย่างยิ่งในHector Servadac [ 378 ]  :

“ตัวเล็ก ขี้ โรคตาดูมีชีวิตชีวาแต่จอมปลอม จมูกโด่ง เคราแพะสีเหลือง ผมรุงรัง เท้าใหญ่ มือยาวเป็นตะขอ พระองค์ทรงนำเสนอลักษณะนี้จนเป็นที่รู้จักของชาวยิวชาวเยอรมัน และเป็นที่รู้จักในหมู่คนทั้งปวง เขาเป็นผู้ถือครอง กระดูกสันหลังที่อ่อนนุ่ม เป็นจานของหัวใจ มงกุฎที่ตัดขน และผู้ตัดไข่ เงินคงจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตได้เหมือนกับแม่เหล็กดึงดูดเหล็ก และถ้าไชล็อคคนนี้ประสบความสำเร็จในการรับเงินจากลูกหนี้ของเขา เขาคงจะขายเนื้อของเขาในราคาปลีกอย่างแน่นอน นอกจากนี้ แม้ว่าเขาจะเป็นชาวยิวโดยกำเนิด เขาก็กลายเป็นโมฮัมเหม็ดในจังหวัดโมฮัมเหม็ด เมื่อกำไรของเขาเรียกร้อง เป็นคริสเตียนหากจำเป็นจะต้องเผชิญหน้ากับคาทอลิก และเขาจะกลายเป็นคนนอกรีตเพื่อหารายได้เพิ่ม ชาวยิวคนนี้ชื่ออิสอัค ฮาคาบุต »

—เฮค  เตอร์ เซอร์วาดัก บทที่ 18

“ชาวยิวจำนวนมากที่ปิดเสื้อผ้าของตนจากขวาไปซ้ายขณะที่พวกเขาเขียน – ตรงกันข้ามกับเผ่าพันธุ์อารยัน »

—คลอดิอุส  บอมบาร์นัค , ไอ

เวิร์นจึงใช้ทัศนคติเหมารวมของชาวยิวในวรรณคดีและจินตภาพยอดนิยม ตามจิตวิญญาณของผู้ถือครองGobseckหรือNucingenแห่งLa Comédie humaineพ่อค้าแห่งเวนิสของเชคสเปียร์ 's Shylockของการอ่านAlphonse Toussenel ของเขา แหล่งข่าวว่าเขา ยังหาประโยชน์หรือจาก Victor Hugo des Burgraves ในการตีพิมพ์ของHector Servadacหัวหน้าแรบไบแห่งปารีสZadoc Kahnประณามการต่อต้านชาวยิวของ Verne อคติเชิงล้อเลียนของเขาซึ่งสอดคล้องกับการต่อต้านชาวยิวในสิ่งแวดล้อมนั้นได้ถูกนำมาใช้แล้วในเรื่องสั้นของเขาMartin Pazในปี พ.ศ. 2395 โดยไม่มีการสำรองใด ๆ ในตอนนั้น[ 379 เขาอาจจะยังคงรักษาบทเรียนของอาจารย์ รับบีและผู้จัดพิมพ์ของเขาไว้เนื่องจากลักษณะนี้ไม่ปรากฏขึ้นอีกในงานของเขา[ 380 Jean-Paul Dekiss อธิบายว่า: "Jules Verne น่าเสียดายที่สร้างภาพขึ้นมาในยุคที่แพร่หลายของเขาและไม่ได้วัดผลที่ตามมาจากการเลือกที่น่าเสียดายเช่นนี้ [... ] ในการป้องกันของเขาหากเขาใช้ลักษณะของชาวยิวที่ชั่วร้ายเพื่อประณาม บทบาทที่เป็นอันตรายของเงิน มันเป็นปรากฏการณ์ของดอกเบี้ยที่เขาโจมตี ไม่ใช่ชนกลุ่มน้อยทางศาสนา ” [ 379 ]

ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชีวประวัติของ Jules Verne สามารถอธิบายภาพล้อเลียนต่อต้านกลุ่มเซมิติกของตัวละครของ Isac Hakhabut ได้ ในขณะที่เขียนนวนิยายเรื่องนี้ Jules Verne กำลังดิ้นรนกับเรื่อง Olschewitz ซึ่งเป็นครอบครัวชาวยิวในโปแลนด์ที่กำลังพาดหัวข่าวด้วยการประกาศว่าผู้แต่ง Extraordinary Voyages มีชื่อจริงว่าJulius Olschewitz [ N 22 เรื่องนี้ทำให้เขาโกรธเคือง[ 381 จากนั้นเขาก็พยายามที่จะพิสูจน์ต้นกำเนิดคาทอลิกของเขา: “ในฐานะชาวเบรอตง ฉันอยู่ด้วยเหตุผล โดยการให้เหตุผล ตามประเพณีของครอบครัวที่เป็นคริสเตียนและโรมันคาทอลิค » (จดหมายถึงมาดามอองตวน แม็กนิน) [ 382 ]นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนมากมายในจดหมายโต้ตอบของเขากับผู้จัดพิมพ์ของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ในเวลาเดียวกัน Jules Verne ก็คิดว่าตัวเองถูกปล้น (ผิด) โดย Jacques Offenbach สำหรับเทพนิยายVoyage dans la Luneและ (ถูกต้อง) โดยAdolphe d'Enneryเพื่อสิทธิ์ในการดัดแปลง Le Tour du monde en 80 วันทั้งศรัทธาของชาวอิสราเอล[ 384 นอกจากนี้ เวิร์นยังเกลียดที่จะไปที่เมืองAntibes ในบ้านพักของผู้ร่วมงานของเขา ซึ่งมี ชีวิตที่ค่อนข้างเสเพลในสายตาของนักเขียน[ 385 ต้นฉบับของเฮคเตอร์ เซอร์วาดักจึงมีราย ละเอียด ที่กำหนดเป้าหมาย D'Ennery อย่างไม่น่าสงสัย แต่หายไปจากเวอร์ชันที่เผยแพร่[ 386 ]

ในตอน แรกเวิร์นต่อต้านเดรย์ฟูซาร์ดก่อนที่จะเปลี่ยนใจ[ 387 การมีสมาชิกในครอบครัวของเขาหลายคนในกองทัพ เช่น นายพลจอร์ชส อัลล็อตเต เด ลา ฟูเยลูกพี่ลูกน้องคนแรกของเขา เป็นแบบอย่างของตัวละครเฮกเตอร์ เซอร์วาดัค ซึ่งอ่านและแก้ไขนวนิยายชื่อเดียวกัน[ 388 ]การสนับสนุนนี้สามารถเข้าใจได้ กันและกัน. ตัวอย่างเช่น ถึงLouis-Jules Hetzelเขาเขียนเกี่ยวกับเรื่อง Dreyfus Affair:“วันปีใหม่นี้จะเป็นอย่างไรท่ามกลางความโกลาหลทางศีลธรรมที่ประเทศที่ยากจนของเราได้ล่มสลายไป? ฉันแทบจะไม่รู้ แต่มันน่ารังเกียจมาก และฉันไม่สามารถบอกคุณได้มากพอว่าฉันประหลาดใจและเสียใจเพียงใดกับการแทรกแซงของปัวน์กาเรเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน และทุกอย่างจะจบลงอย่างไร? [ 389 ] และไม่กี่เดือนต่อมา วันรุ่งขึ้นหลังจากการลงคะแนนเสียงของหอการค้าที่เรียกว่ากฎหมายการขายกิจการ โดยให้ศาล Cassation ตัดสินให้ดำเนินการแก้ไขการพิจารณาคดีของเดรย์ฟัส: "ข้าพเจ้า ผู้ต่อต้าน - ฉันเห็นด้วยในจิตวิญญาณของ เดรย์ฟูซาร์ดมันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ต้องทำกับคำถามเรื่องการแก้ไขRaymond Poincaréซึ่งในปี พ.ศ. 2439 เคยเป็นทนายความของ Jules Verne และ Louis-Jules Hetzel ในคดีหมิ่นประมาท (นักประดิษฐ์Eugène Turpinจำตัวเองได้ในบทบาทของ Thomas Roch จากนวนิยายเรื่องFace auflag ) ซึ่งผู้กล่าวหาของเขาถูกไล่ออกอย่างไม่ถูกต้อง[ 391 ]เดรย์ฟูซาร์ด ประท้วงต่อต้านการตัดสินใจครั้งนี้ซึ่งทำให้เกิดความเด็ดขาด

จูลส์ เวิร์น ค่อยๆ เปลี่ยนใจและหลักฐานก็ค่อยๆ สะสม มิเชล เวิร์น เดรย์ฟูซาร์ดผู้กระตือรือร้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นคนแปลกหน้าต่อการเปลี่ยนแปลงทิศทางนี้[ 392 ในเวลาเดียวกัน จูล ส์ เวิร์น เขียนเรื่องLes Frères Kipซึ่งผู้บริสุทธิ์ถูกตัดสินให้ติดคุก[ 392 ]

จูลส์ เวิร์น แม้ว่าผู้ต่อต้านอาณานิคมจะยึดแหล่งที่มาที่เขาใช้ แต่ก็ไม่หนีจากอคติในสมัยของเขา[ 393 ]  :

“แต่คนพื้นเมืองเหล่านี้” เลดี้เกลนาร์วันถามอย่างกระตือรือร้น “พวกเขาเหรอ…” “
วางใจไว้เถิด ท่านหญิง” นักวิชาการตอบด้วยกิริยาที่อ่อนโยน และไม่กระหายเลือดเหมือนเพื่อนบ้านในนิวซีแลนด์ ถ้าพวกเขาจับนักโทษBritannia ที่หลบ หนีไป พวกเขาไม่เคยขู่ว่าจะมีตัวตนอยู่เลย เชื่อฉันเถอะ นักเดินทางทุกคนมีความเห็นเป็นเอกฉันท์ในประเด็นนี้ว่าชาวออสเตรเลียมีความหวาดกลัวต่อการนองเลือด และหลายครั้งที่พวกเขาพบพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ในตัวพวกเขาในการต่อต้านการโจมตีของกลุ่มนักโทษที่โหดเหี้ยมกว่ามาก »

—  ลูกของกัปตันแกรนท์ตอนที่สอง บทที่สี่

ผลงานของ Jules Verne เช่นเดียวกับนักเขียนส่วนใหญ่ในสมัยนั้น บางครั้งแสดงให้เห็นถึงความถ่อมตัวหรือแม้แต่การดูถูกเหยียดหยาม "คนป่าเถื่อน" หรือ "ธรรมชาติ" อย่างสมบูรณ์แบบ:

“ไม่กี่นาทีต่อมา เรือวิกตอเรียก็ลอยขึ้นไปในอากาศและมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกภายใต้แรงกระตุ้นของลมปานกลาง
“นี่ การโจมตี!” โจกล่าว
“เราคิดว่าคุณถูกคนพื้นเมืองปิดล้อม”
- พวกมันเป็นแค่ลิง โชคดีนะ! ตอบหมอ
— จากระยะไกล ความแตกต่างไม่ได้มากนัก ซามูเอลที่รักของฉัน
“ไม่ได้อยู่ใกล้เลย” โจตอบ »

-  ห้าสัปดาห์ในบอลลูนบทที่สิบสี่

อย่างไรก็ตามJean ChesneauxและOlivier Dumasต่างตั้งข้อสังเกตว่า: "การเหยียดเชื้อชาติของ Jules Verne ซึ่งเป็นทัศนคติที่ดูถูกเหยียดหยามของเขา นำไปใช้กับชนชั้นปกครองและชนชั้นสูงของชนเผ่ามากกว่ากับประชาชนในแอฟริกาและโอเชียเนียโดยรวม สิ่งที่เขาประณามอย่างเต็มใจที่สุด ตามปกติของ "ความป่าเถื่อน" ของแอฟริกา คือ สุสานพิธีกรรมเนื่องในโอกาสพิธีศพของกษัตริย์ เช่น Kinglet ของคองโกใน กัปตันสิบห้าปี (ส่วนที่สอง บทที่ 12 ) หรือการเผาครั้งใหญ่ ของนักโทษเพื่อเป็นเกียรติแก่การขึ้นครองราชย์ของกษัตริย์องค์ใหม่ของ Dahomey ซึ่ง Robur ยุติลงจากบนเครื่องบินของเขา (หน้า 142) » [ 394 ]

และเป็นความจริงที่ว่าคำพูดแบบนี้ยังคงมีอยู่เป็นครั้งคราว มีตัวละครหลากสีสันที่นำเสนอในแง่บวก เช่น Tom, Austin, Bat, Actaeon และ Hercules ในA Fifteen-Year-Old Captain ("[...] ใคร ๆ ก็สามารถจดจำตัวอย่างอันงดงามของสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งนี้ได้อย่างง่ายดาย [ …] ") เราต้องเพิ่มความป่าเถื่อนของปาปัวในใต้ทะเลยี่สิบพันลีกซึ่งกัปตันนีโมถอดออกจาก "อารยธรรม" ที่ประกอบด้วยคนผิวขาวอุทาน: "แล้วพวกเขาแย่กว่าคนอื่น ๆ หรือเปล่า? คนที่คุณเรียกว่าคนป่าเถื่อน? เขาจะขับไล่ภัยคุกคามที่มีต่อลูกเรือด้วยประจุไฟฟ้าที่ไม่เป็นอันตราย ในทางกลับกันมันจะแสดงตัวเองแบบไม่สงสารเรือยุโรปเลย (เราจะรู้กันในเกาะลึกลับที่เขาเป็นชาวอังกฤษ) ซึ่งคร่าชีวิตครอบครัวของเขาทั้งหมด นอกจากนี้เรายังจะได้เรียนรู้ด้วยว่ากัปตันนีโมเป็นชาวฮินดู - ดังนั้นจึงเป็นชาวเอเชีย - ผู้ที่เข้าร่วมในการประท้วงของ Sepoysในปี 1857 ในที่สุด ลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษในโอเชียเนียก็ถูกลงโทษหลายครั้งในการเดินทางพิเศษ  : ลูกหลานของกัปตันแกรนท์ , The Jangada , นางบรานิกัน[ 395 ] .

ยิ่งไปกว่านั้น ในนวนิยายเหล่านี้ Jules Verne มีจุดยืนที่ชัดเจนในการต่อต้านการเป็นทาส ซึ่งเป็นจุดยืนที่เขายืนยันซ้ำหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่เกี่ยวกับสงครามกลางเมือง เขาเป็นผู้ก่อสงครามในสาเหตุ นี้โดยปรบมือให้การยกเลิกในปี พ.ศ. 2391 [ 397 ] อย่างต่อเนื่อง ในด้านนี้ เขายังแน่วแน่ต่อผู้ที่รับผิดชอบและแสวงหาผลประโยชน์จากการเป็นทาส ดังนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกัปตันสิบห้าปีเขาโจมตีนกกระจิบแอฟริกันที่หลงระเริงในสงครามทำลายล้างและการจับกุมที่มีผลตามมาด้วยการกดขี่ของพี่น้องเชื้อชาติของพวกเขา ซึ่งมักจะกลายเป็นละคร

“อิสลามสนับสนุนการค้ามนุษย์ ทาสผิวดำต้องเข้ามาแทนที่ทาสผิวขาวในอดีตในจังหวัดมุสลิม »

อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ให้คนผิวดำเท่าเทียมกับคนผิวขาว เมื่อพวกเขาไม่ใช่คนป่าเถื่อน คนผิวดำจะเป็นคนรับใช้ อุทิศตนให้กับนายของพวกเขาอย่างเต็มที่ และไม่เรียกร้องสถานะอื่นใด ดังนั้น ในช่วงสองปีแห่งวันหยุดเด็กชายโมโกะซึ่งมีอายุเท่ากับเด็กคนอื่นๆ จึงเข้ารับราชการโดยสิ้นเชิง และไม่ได้มีส่วนร่วมในการลงคะแนนเสียงที่จะแต่งตั้งผู้นำของอาณานิคมเล็ก ๆ หรือในการอภิปรายใด ๆ :

“โมโกะในฐานะคนผิวดำไม่สามารถเรียกร้องและไม่อ้างใช้อำนาจของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง [...]”

—  วันหยุดสองปีบทที่ XVIII

Jean Chesneaux เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า "ไม่มีนวนิยายของ Vernian ที่อุทิศให้กับการขยายอาณานิคมของฝรั่งเศสเช่นนี้" มากไปกว่าการค้าทาสในมหาสมุทรแอตแลนติกที่ถูกเพิกเฉยโดยสิ้นเชิง “แม้ว่าเขาจะพยายามทำความเข้าใจการต่อสู้ดิ้นรนกับอำนาจอาณานิคมและความเห็นอกเห็นใจอย่างลับๆ ของเขาต่อกลุ่มกบฏเช่นนานา-ซาฮิบ แต่จูลส์ เวิร์นก็ยอมรับว่าการครอบงำอาณานิคมเป็นข้อเท็จจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และได้รับมา ยังดีกว่านั้นว่าเป็นข้อเท็จจริงที่จำเป็นทางประวัติศาสตร์ เหนือสิ่งอื่นใด ยกตัวอย่างนวนิยายเรื่องL ' Invasion de la merที่ เกี่ยวข้องกับเรื่อง

ออนอเร่ เดอ บัลซัคHonoré de Balzac นามปากกาของHonoré Balzac [ n 1 ]เกิดเมื่อวันที่ปีที่ 7ของปฏิทินสาธารณรัฐที่1 ) ในตูร์และสิ้นพระชนม์ในวันที่ ในปารีสเป็นนักเขียน ชาวฝรั่งเศส นักเขียนนวนิยายนักเขียนบทละคร นักวิจารณ์วรรณกรรมนักวิจารณ์ศิลปะ นัก เขียนเรียงความนักข่าวและนักพิมพ์เขาทิ้งผลงานโรแมนติกที่น่าประทับใจที่สุดชิ้นหนึ่งในวรรณคดีฝรั่งเศส โดยมีนวนิยายและเรื่องสั้นมากกว่าเก้าสิบเรื่องที่ตีพิมพ์ระหว่างปี 1829 ถึง1855 ซึ่งรวบรวมภายใต้ชื่อLa Comédie มนุษยธรรม . นอกจากนี้ ยังมีLes Cent Contes drolatiquesรวมถึงนวนิยายเยาวชนที่ตีพิมพ์โดยใช้นามแฝงและผลงานร่างอีกยี่สิบห้าชิ้น

เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนวนิยายฝรั่งเศสซึ่งเขาได้เข้าถึงหลายประเภทตั้งแต่นวนิยายเชิงปรัชญาที่มีผลงานชิ้นเอกที่ไม่รู้จักไป จนถึง นวนิยายที่ยอดเยี่ยมกับLa Peau de chagrinหรือแม้แต่ นวนิยาย บทกวีกับLe Lys dans la vallée เขามีความเป็นเลิศในด้านความสมจริงโดยเฉพาะกับLe Père GoriotและEugénie Grandet

ตามที่เขาอธิบายในคำนำถึงLa Comédie humaineโครงการของเขาคือการระบุ"สายพันธุ์ทางสังคม"ในยุคของเขา เช่นเดียวกับที่Buffonได้ระบุสายพันธุ์ทางสัตววิทยา หลังจากค้นพบจากการอ่านวอลเตอร์ สก็อตต์ว่านวนิยายเรื่องนี้สามารถมุ่งสู่"คุณค่าทางปรัชญา"เขาต้องการสำรวจชนชั้นทางสังคมต่างๆ และบุคคลที่แต่งขึ้นเพื่อ"เขียนประวัติศาสตร์ที่ถูกลืมโดยนักประวัติศาสตร์จำนวนมาก ชนชั้นทางสังคม มากขึ้น”และ“แข่งขันกับสถานภาพทางแพ่ง  ”

ผู้เขียนบรรยายถึงการผงาดขึ้นของระบบทุนนิยมการผงาดขึ้นมาของชนชั้นกระฎุมพีต่อชนชั้นสูง ในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่ประกอบด้วยการดูถูกและผลประโยชน์ร่วมกัน สนใจในสิ่งมีชีวิตที่มีโชคชะตา เขาสร้างตัวละครที่ยิ่งใหญ่กว่าชีวิต: "ทุกคนที่บัลซัค แม้แต่ประตู ก็มีอัจฉริยะ" ( โบดแลร์ )

อเล็กซานเดอร์ ดูมาส์การประพันธ์ผลงานบางส่วนของเขามีข้อโต้แย้ง ดูมาส์จึงถูกวิจารณ์โดยนักวิจารณ์หลายคนว่าสมัยของเขาเคยขอความช่วยเหลือจากนักเขียนปากกาโดยเฉพาะAuguste Maquet อย่างไรก็ตาม การวิจัยร่วมสมัยแสดงให้เห็นว่าดูมาส์ได้สร้างความร่วมมือกับอย่างหลัง โดยดูมาส์ดูแลการเลือกธีมทั่วไปและแก้ไขภาพร่างของ Maquet เพื่อให้มีชีวิตชีวามากขึ้น ดังนั้นเราจึงไม่สามารถปฏิเสธความเป็นบิดาในการทำงานของเขาได้ แม้ว่าเขาอาจจะไม่สามารถผลิตผลงานชิ้นเอกทั้งหมดของเขาในปี 1844–1850 ได้หากไม่มีผู้ร่วมงานเคียงข้างเขาเพื่อทำทุกอย่างอย่างมีประสิทธิภาพและสุขุมรอบคอบ [ 1 ]วิกเตอร์-ฮูโก้งานวรรณกรรม

ในการปรับเปลี่ยน

ตัวละครหกตัวโดย Victor Hugoสีน้ำมันบนผ้าใบโดยLouis Boulanger พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ Dijonปี 1853 จากบนลงล่างและซ้ายไปขวา: Don Ruy Gomez , Don César de Bazan , Don Sallust , Hernani , la Esmeralda , Saverny

งานเขียนทั้งหมดของวิกเตอร์ อูโก ซึ่งจัดเรียงและเรียบเรียงโดยผู้ดำเนินการพินัยกรรมของเขาพอล เมอริซและออกัสต์ วัคเคอรี[ 110 ]ถือเป็นหัวข้อของฉบับสมบูรณ์หลายฉบับ โดยมีอักขระเกือบสี่สิบล้านตัวรวมตัวกันในเล่มประมาณห้าสิบเล่ม

"วันหนึ่งงานของฉันทั้งหมดจะสร้างส่วนที่แบ่งแยกไม่ได้ [...] หนังสือหลายเล่มที่สรุปศตวรรษนี่คือสิ่งที่ฉันจะทิ้งไว้ข้างหลังฉัน[ 111 ]  "

Victor Hugo ฝึกฝนทุกประเภท: นวนิยายบทกวี ละครเรียงความฯลฯ — ด้วยความหลงใหลในพระคำ ความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ และจินตนาการอันอุดมสมบูรณ์[ 112 นักเขียนและนักการเมือง วิกเตอร์ อูโกไม่เคยพยายามสร้างความแตกต่างระหว่างกิจกรรมของเขาในฐานะนักเขียนและความมุ่งมั่นของเขา[ 113 ดังนั้นเขาจึงผสมผสานกันอย่างใกล้ชิดในงานนวนิยาย พัฒนาการเชิงนวนิยาย และการไตร่ตรองทางการเมือง [ 114 ]

งานเขียนของเขาเป็นพยานถึงความสนใจที่หลากหลายของเขาซึ่งมีตั้งแต่วิทยาศาสตร์จนถึงปรัชญา จากโลกไปจนถึงจักรวาลทั้งหมด สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในประวัติศาสตร์พอๆ กับศรัทธาของเขาในอนาคต พวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากทุกสิ่งที่ Hugo ได้เห็น ได้ยิน ใช้ชีวิต ทุกสิ่งที่เขาพูดในชีวิตประจำวัน

โรงภาพยนตร์ในการปรับเปลี่ยน

การต่ออายุเพศในการปรับเปลี่ยน

โรงละครของวิกเตอร์ อูโกเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูประเภทละครที่ริเริ่มโดยMadame de Staël , Benjamin Constant , François Guizot , Stendhal [ 115 ]และChateaubriand ในละครของเขาครอมเวลล์ซึ่งเขารู้ว่าไม่สามารถเล่นได้ในช่วงเวลาของเขา[ 115 ] (บทละคร 6,414 บรรทัดและตัวละครนับไม่ถ้วน) เขาให้การควบคุมความคิดเกี่ยวกับโรงละครใหม่อย่างอิสระ เขาร่วมกันตีพิมพ์คำนำที่มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องบทละครของเขา และที่เขาเปิดเผยแนวคิดของเขาเกี่ยวกับละครโรแมนติก: โรงละคร  " ออลอินวัน  " [ 115 ]ในขณะเดียวกัน ละครประวัติศาสตร์ ตลก ประโลมโลก และโศกนาฏกรรม เขาอ้างว่าสอดคล้องกับเช็คสเปียร์[ 115 ]โดยสร้างสะพานเชื่อมระหว่างโมลิแยร์และคอร์เนล[ 116 ที่นั่นเขาเปิดโปงทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับพิสดารซึ่งมาในหลายรูปแบบ[ 117 ]  : จากเรื่องไร้สาระไปจนถึงเรื่องมหัศจรรย์ผ่านเรื่องเลวร้ายหรือเรื่องน่าสยดสยอง วิกเตอร์ อูโก เขียนไว้ว่า คนสวยมี ประเภทเดียว คนน่าเกลียดมีพัน” แอนน์ อูเบอร์สเฟลด์พูดถึงหัวข้อนี้เกี่ยวกับลักษณะงานรื่นเริงของโรงละครฮิวโกเลียน[ 119 ]และ การละทิ้งอุดมคติแห่งความงาม[ 115 ตามที่วิกเตอร์ อูโกกล่าวไว้ คนพิลึกต้องถูไหล่ด้วยความประเสริฐ เพราะ นี่ คือสองแง่มุมของชีวิต[ 120 ]

The Burgravesฉากจากองก์ที่2

ในระหว่างการสร้างละครเรื่องอื่น ๆ ของเขา Victor Hugo พร้อมที่จะให้สัมปทานมากมาย[ 121 ]เพื่อทำให้สาธารณชนเชื่องและนำพวกเขาไปสู่แนวคิดเรื่องโรงละคร[ k ] . สำหรับ เขา ยวนใจ คือเสรีนิยมในวรรณคดี บทละครชิ้นสุดท้ายของเขาซึ่งเขียนขึ้นระหว่างถูกเนรเทศและไม่เคยแสดงเลยในช่วง ชีวิตของเขา ยังถูกนำมารวมกันเป็นคอลเลกชันที่มีชื่อชวนให้นึกถึงThéâtre en liberé โรงละครควรกล่าวถึงทุกคน: ผู้มีกิเลสตัณหาสมัครเล่น การกระทำหรือศีลธรรม[ 116 ] , [ l ]โรงละครจึงมีภารกิจในการ สอน เสนอเวทีสำหรับการอภิปรายความคิด และนำเสนอ"บาดแผลของมนุษยชาติด้วยความคิดที่ปลอบโยน[ 123 ]  "

วิกเตอร์ อูโก เลือกที่จะ แสดงละครของเขาใน ช่วงศตวรรษ ที่ 16 และ 17 เป็นหลัก  ค้นคว้าข้อมูลมากมายก่อนที่จะเริ่มเขียน[ 124 ] มักนำเสนอละครที่มีสามเสา: นาย , ผู้หญิง, ผู้น่าเกลียด[ 125 ]ที่เผชิญหน้าและผสมสองขั้ว โลก: นั่นคือพลังและของผู้รับใช้[ m ]ที่ซึ่งบทบาทถูกพลิกกลับ (Ruy Blas ผู้รับใช้รับบทเป็นชาวสเปนผู้ยิ่งใหญ่) ที่ซึ่งฮีโร่พิสูจน์ได้ว่าอ่อนแอและที่ที่สัตว์ประหลาดมีแง่มุมที่น่ารัก [ n ]

วิกเตอร์ อูโกชอบเขียนร่วมกับอเล็กซานดรีนซึ่งเขามอบให้เมื่อเขาต้องการ รูปแบบที่เป็นอิสระมากกว่า[ 126 ]และงานเขียนร้อยแก้วของเขาหายาก ( Lucrezia Borgia , Marie Tudor )

การโต้เถียงในการปรับเปลี่ยน

รอบปฐมทัศน์ของ Hernani ก่อนการต่อสู้ ภาพ แกะสลักโดยAlbert Besnardซึ่งเป็นตัวแทนของBattle of Hernani บ้านของ Victor Hugo

Victor Hugo ถ้าเขามีผู้พิทักษ์โรงละครของเขาอย่างThéophile Gautier , Gérard de Nerval , Hector Berlioz , Petrus Borelเป็นต้น [ 127 ]ยังประสบปัญหามากมายในการนำเสนอผลงานของเขา

ประการแรกคือการต่อต้านทางการเมือง การซักถามผู้แทนอำนาจของเขาไม่เป็นที่พอใจMarion de Lormeเป็นสิ่งต้องห้ามราชากำลังสนุกสนานหลังจากการแสดงครั้งแรกเช่นกัน พวกอุลตร้าโจมตี รุ ย บลาส[ 128 ]

ประการที่สองคือข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ: มีโรงละครเพียงสองแห่งในปารีสที่สามารถแสดงละครได้ ได้แก่ Théâtre-Français และ Théâtre de la Porte-Saint-Martin โรงละครที่ได้รับเงินอุดหนุนทั้งสองแห่งนี้ไม่ได้หมุนเวียนเป็นเงินและขึ้นอยู่กับเงินอุดหนุนจากรัฐ กรรมการของพวกเขาลังเลที่จะรับความเสี่ยง[ 33 วิก เตอร์อูโกจะบ่นเกี่ยวกับการขาดเสรีภาพที่พวกเขาเสนอ[ 129 นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาต้องผจญภัยในโรงละครเรอเนซองส์

ประการที่สามและสำคัญที่สุดคือการต่อต้านจากสภาพแวดล้อมทางศิลปะนั่นเอง ศิลปินและนักวิจารณ์หลายคนในสมัยของเขาไม่เห็นด้วยกับการล่วงละเมิดหลักจรรยาบรรณทางวัฒนธรรมที่แสดงโดยโรงละครของวิกเตอร์ อูโก พวกเขาเห็นด้วยกับความคิดที่ยิ่งใหญ่ที่ยกระดับจิตวิญญาณ แต่กบฏต่อสิ่งใดก็ตามที่แปลกประหลาด หยาบคาย เป็นที่นิยมหรือไม่สำคัญ[ 130 พวกเขาไม่สนับสนุนทุกสิ่งที่มากเกินไป ตำหนิเขาในเรื่องวัตถุนิยมและขาดศีลธรรม[ 131 พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์แต่ละชิ้นที่นำเสนออย่างจริงจังและมักเป็นสาเหตุของการยุติงานก่อนเวลาอันควร Le roi s'amuseแสดงเพียงครั้งเดียว[ o ]เฮอร์นานีแม้จะประสบความสำเร็จในการแสดงถึงห้าสิบครั้ง แต่ก็ไม่ฟื้นขึ้นมาในปี พ.ศ. 2376 มารี ทิวดอร์แสดงได้เพียง 42 ครั้ง[ 132 ]เดอะเบอร์เกรฟส์ ล้มเหลวและถูกถอนออกจากร่าง กฎหมายหลังจากการแสดงสามสิบสามครั้ง[ 133 Ruy Blas ประสบความ สำเร็จทางการเงิน แต่ถูกนักวิจารณ์รังเกียจ[ 134 บัลซัคส่งไปหามาดามฮันสก้าความคิดเห็นที่เป็นพิษ: “Ruy Blas เป็นคนโง่เขลาอย่างมากและเป็นบทที่น่าอับอาย ไม่เคยมีพวกน่ารังเกียจและไร้สาระมาเต้นรำในละครซาราแบนด์ที่ป่าเถื่อนไปกว่านี้อีกแล้ว เขาตัดสองบรรทัดที่น่ากลัวนี้ออก: ... สหายที่น่ากลัว / เคราของเขาบานและจมูกของเขาสูง แต่พวกเขาพูดกันระหว่างการแสดงสองครั้ง ฉันยังไม่เคยไป: ฉันอาจจะไม่ไป ในการแสดงครั้ง ที่ สี่ เมื่อประชาชนมาถึง ก็ได้ยินเสียงนกหวีดสำคัญ” [ 135 ]

วิกเตอร์ อูโก นั่งอยู่ในการประชุมใหญ่ ( French AcademyและFrench Theatre )

มีเพียง Lucrezia Borgiaเท่านั้นที่ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์

ลูกหลานในการปรับเปลี่ยน

โรงละครของวิกเตอร์ อูโกมีการแสดงเพียงเล็กน้อยในช่วงครึ่งแรก ของศตวรรษที่20 [ 136 ] , [ 137 เรื่องนี้ได้รับการอัพเดตให้ทันสมัยโดยJean Vilarในปี 1954 ซึ่งเป็นผู้จัดแสดงRuy BlasและMarie Tudor อย่างต่อ เนื่อง ผู้กำกับคนอื่นๆ ตามมา และทำให้ลูเครซ บอร์เกีย ( เบอร์นาร์ด เจนนี่ ), เลส์ เบอร์เกรฟส์และเฮอร์ นานี ( อองตวน วิเตซ ) , มารี ทิวดอร์ ( แดเนียล เมสกิช ) รับบทละครของThéâtre en liberte ( L'Intervention)พวกเขาจะกินไหม? รางวัลพันฟรังก์ …) ถูกติดตั้งในทศวรรษ 1960 และยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ขณะนี้เราสามารถอ่าน Théâtre en liberé ทั้งหมดนี้ได้ในฉบับที่จัดทำโดย Arnaud Laster [ 138 Naugrette ยังเน้นย้ำถึงความยากลำบากในการตีความโรงละคร Hugolian ทำอย่างไรจึงจะไม่เป็นคนสนุกสนานหรือน่าเบื่อ แต่ต้องไม่สุภาพเรียบร้อยแบบผิดๆ การนำเสนอสิ่งแปลกประหลาดโดยไม่หลุดไปทางภาพล้อเลียน และวิธีการจัดการกับความใหญ่โตของพื้นที่เวทีและระลึกถึงคำแนะนำของ Jean Vilar : “เล่นอย่างไร้ยางอายโดยเชื่อข้อความของวิกเตอร์ อูโก ”


กวีนิพนธ์ในการปรับเปลี่ยน

โองการของเยาวชนในการปรับเปลี่ยน

เมื่ออายุได้ 20 ปี อูโกได้ตีพิมพ์บทกวี Odesซึ่งเป็นคอลเลคชันที่นักเขียนรุ่นเยาว์ได้นำเสนอประเด็นสำคัญเกี่ยวกับฮิวโกเลียนที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก เช่น โลกร่วมสมัย ประวัติศาสตร์ ศาสนา และบทบาทของกวีโดยเฉพาะ ต่อจากนั้นก็คลาสสิกน้อยลงเรื่อยๆ โรแมนติกมากขึ้นเรื่อยๆและ Hugo ก็ล่อลวงผู้อ่านรุ่นเยาว์ให้นึกถึงเวลาของเขาจาก Odes ฉบับต่อเนื่องกัน(สี่ฉบับระหว่างปี 1822 ถึง 1828)

ในปี ค.ศ. 1828 อูโกได้นำ ผลงานบทกวีทั้งหมดก่อนหน้านี้ของเขามารวมกันภายใต้ชื่อOdes et Ballades จิตรกรรมฝาผนังทางประวัติศาสตร์ การรำลึกถึงวัยเด็ก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแบบฟอร์มยังคงตกลงกันไว้ แต่หนุ่มสาวโรแมนติกกำลังใช้เสรีภาพกับประเพณีมิเตอร์และบทกวีอยู่แล้ว ชุดนี้ยังช่วยให้เรารับรู้ถึงจุดเริ่มต้นของวิวัฒนาการที่จะคงอยู่ไปตลอดชีวิตของเขา: คริสเตียนที่เชื่อมั่นแสดงตัวเองว่ามีความอดทนมากขึ้นทีละน้อย ระบอบราชาธิปไตยของเขาซึ่งเข้มงวดน้อยลง และมอบสถานที่สำคัญให้กับมหากาพย์นโปเลียนล่าสุด ; ยิ่งกว่านั้น ห่างไกลจากการหลบเลี่ยงมรดกทางบิดา (นโปเลียน) และมรดกทางมารดา (ผู้ภักดี) ของเขา กวีเผชิญหน้ากับมันและมุ่งมั่นที่จะแสดงสิ่งที่ตรงกันข้าม (สิ่งที่เรียกว่าสิ่งที่ตรงกันข้ามของ Hugolian) เพื่อให้เหนือกว่าพวกเขา:

“หลายศตวรรษ พี่น้องผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้
ต่างโชคชะตา ความปรารถนาคล้ายคลึงกัน มุ่ง สู่
เป้าหมายเดียวกันที่ถนนฝั่งตรงข้าม[ 139 »

-  บทกวีและเพลงบัลลาด

Victor Masson , MazeppaภาพประกอบสำหรับLes Orientales (ประมาณปี 1868) บ้านของวิกเตอร์ อูโกปารีส

จากนั้น ฮิวโก้ก็ย้ายออกจากงานของเขาจากความกังวลทางการเมืองแบบเร่งด่วนซึ่งเขาชอบ — ชั่วขณะหนึ่ง — ศิลปะเพื่อประโยชน์ทางศิลปะ เขาเริ่มดำเนินการในLes Orientales (ตะวันออกเป็นธีมยอดนิยม) ในปี พ.ศ. 2372 (ปีสุดท้ายของชายผู้ถูกประณาม )

ความสำเร็จมีความสำคัญชื่อเสียงของเขาในฐานะกวีโรแมนติกมั่นใจและเหนือสิ่งอื่นใด สไตล์ของเขายืนยันตัวเองอย่างชัดเจนในขณะที่เขาบรรยายถึงสงครามอิสรภาพของกรีก(การเลือกนำเสนอตัวอย่างของชนชาติเหล่านี้ที่กำจัดกษัตริย์ของพวกเขานั้นไม่ได้ไร้เดียงสาใน บริบททางการเมืองของฝรั่งเศส) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับลอร์ดไบรอนหรือ เดลาครัวซ์ ด้วย

ครบกำหนดครั้งแรกในการปรับเปลี่ยน

ตั้งแต่Autumn Leaves (1832), Songs of Twilight (1835) , Inner Voices (1837) ไปจนถึงคอลเลกชันLes Rayons et les Ombres (1840) ธีมหลักของบทกวีโคลงสั้น ๆ ที่ยังคงปรากฏ - กวีคือ "วิญญาณแห่งพัน เสียง” ที่พูดกับผู้หญิง, พระเจ้า, เพื่อน, ถึงธรรมชาติ และสุดท้าย (กับ The Songs of Twilight ) ถึงผู้มีอำนาจที่ต้องรับผิดชอบต่อความอยุติธรรมของโลกนี้

บทกวีเหล่านี้เข้าถึงสาธารณชนได้เนื่องจากบทกวีเหล่านี้กล่าวถึงประเด็นที่คุ้นเคยด้วยความเรียบง่ายที่เห็นได้ชัด อย่างไรก็ตาม ฮิวโก้ไม่สามารถต้านทานรสนิยมของเขาต่อมหากาพย์และความยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นเราสามารถอ่าน ข้อต่างๆ ได้ ตั้งแต่ต้นAutumn Leaves :

“ศตวรรษนี้มีอายุสองปี! โรมเข้ามาแทนที่สปาร์ตา น
โปเลียนกำลังบุกทะลวงภายใต้โบนาปาร์ต
และจากกงสุลที่หนึ่งแล้ว ในหลาย ๆ ที่
หน้าผากของจักรพรรดิก็หักหน้ากากแคบ ๆ »

ความคิดสร้างสรรค์และพลังวรรณกรรมในการปรับเปลี่ยน

ช่วงเวลาแห่งการเนรเทศเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์วรรณกรรม ซึ่งถือเป็นผลงานของวิกเตอร์ อูโกที่ร่ำรวยที่สุด สร้างสรรค์ที่สุด และทรงอิทธิพลที่สุด ตอนนั้นเองที่บทกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบางบทของเขา[ p ] ถือกำเนิด ขึ้น

พ.ศ. 2399 เป็นปีแห่งการใคร่ครวญ Hugo พูดว่า: “ Les Contemplations คืออะไร  ? [...] บันทึกความทรงจำของดวงวิญญาณ[ 140 ] . " ถึงผู้จัดพิมพ์ Hetzel เขาเขียนเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2398 ว่า " เราต้องโจมตีและฉันก็เข้าข้างฉัน เช่นเดียวกับนโปเลียน ( ที่ 1 ) ฉันให้ทุนสำรอง ฉันทำให้กองทหารของฉันว่างเปล่าในสนามรบ สิ่งใดที่ข้าพเจ้าเก็บไว้นอกเหนือจากตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าก็ให้เสีย เพื่อว่าการไตร่ตรองจะเป็นงานกวีนิพนธ์ที่สมบูรณ์ที่สุดของข้าพเจ้า เล่มแรกของฉันจะมี 4,500 ข้อ เล่มสองมี 5,000ข้อ รวมเกือบ 10,000 ข้อ ลงโทษเพียง7,000ฉันสร้างกิซ่าบนทรายของฉันเท่านั้น ถึงเวลาสร้าง Cheops; การไตร่ตรองจะเป็นปิรามิดอันยิ่งใหญ่ของฉัน[ 141 »

ความสำเร็จนั้นมหัศจรรย์มาก คอลเลคชั่นออกมาพิมพ์จำนวน 3,000 เล่ม วันรุ่งขึ้นพอล เมอไรซ์ขออนุญาต อูโก้ ให้ออกรางวัลใหม่ซึ่งจะเสร็จในวันที่ 20 พฤษภาคม อีกครั้งที่ 3,000 น . ในระหว่างนี้ ค่าลิขสิทธิ์แรกทำให้อูโกสามารถซื้อบ้านของเขาในโอตวีลเฮาส์ใน เกิร์นซีย์[ 142 ]

การกล่าวสุนทรพจน์ในเชิงโคลงสั้น ๆ โดดเด่นด้วยการเนรเทศในเกิร์นซีย์และการเสียชีวิต (เปรียบเทียบPauca Meae ) ของลูกสาวผู้เป็นที่รัก: การเนรเทศทางอารมณ์ การเนรเทศทางการเมือง: ฮิวโก้เริ่มต้นการค้นพบตนเองและจักรวาลอย่างโดดเดี่ยว กวีเช่นเดียวกับในLes Châtimentsแม้กระทั่งทำให้ตัวเองเป็นผู้เผยพระวจนะเสียงจากที่อื่นมองเห็นความลับของชีวิตหลังความตายและพยายามไขความลับของการออกแบบอันศักดิ์สิทธิ์ แต่ในขณะเดียวกันการไตร่ตรองด้วยบทกวีเกี่ยวกับความรักและเย้ายวนมีบทกวีที่โด่งดังที่สุดบางบทที่ได้รับแรงบันดาลใจจากJuliette Drouet . ยังมีวันพรุ่งนี้ตอนรุ่งสางและโองการที่เขานำเสนอตัวเองในฐานะนักปฏิวัติวรรณกรรม: "[…] เหนือสถาบันการศึกษาคุณย่าและอัครมหาเสนาบดี / […] ฉันทำให้เกิดลมแห่งการปฏิวัติพัด / ฉันใส่แคปสี แดงในพจนานุกรมเก่า[ 143 » Les Contemplations  : งานที่มีหลายแง่มุม จึงเหมาะกับ « บันทึกความทรงจำของจิตวิญญาณ » [ q ] .

สถานที่ที่แตกต่างจากศตวรรษในการปรับเปลี่ยน

บางครั้งก็เป็นโคลงสั้น ๆ , บางครั้งก็ เป็น มหากาพย์ , Hugo ปรากฏอยู่ในทุกด้านและในทุกประเภท: เขาประทับใจกับคนรุ่นราวคราวเดียวกันอย่างลึกซึ้ง ทำให้ผู้มีอำนาจโกรธเคืองและเป็นแรงบันดาลใจให้กับกวีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

วิกเตอร์ อูโกเชื่อมั่นว่า "การขยายตัวของอารยธรรม" ในยุโรปไปสู่ส่วนอื่นๆ ของโลกทำให้วรรณกรรมกล่าวถึงมนุษย์ทุกคน ดังนั้น "สภาพการรับรสและภาษาที่ครั้งหนึ่งเคยแคบ" จึงไม่มีความหมายอีกต่อไป จุดประสงค์ “ในฝรั่งเศส เขาอธิบายให้ผู้จัดพิมพ์ Les Misérables ชาวอิตาลี ฟังว่า นักวิจารณ์บางคนตำหนิฉันด้วยความดีใจอย่างยิ่งที่ได้อยู่นอกเหนือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่ารสนิยมแบบฝรั่งเศส ฉันอยากให้คำสรรเสริญนี้สมควรได้รับ” [ 144 ]

ดังที่ซิโมน เดอ โบวัวร์ เล่า  ว่า “ วันเกิดปีที่ 79 ของเขา ได้รับการเฉลิมฉลองเป็นวันหยุดประจำชาติ ผู้คน 600,000 คนเดินขบวนอยู่ใต้หน้าต่างของเขา และมีการสร้างประตูชัยให้เขา หลังจากนั้นไม่นาน Avenue d'Eylau ก็รับบัพติศมาให้กับAvenue Victor-Hugoและมีขบวนพาเหรดใหม่เพื่อเป็นเกียรติแก่เขาในวันที่ 14 กรกฎาคม แม้แต่ชนชั้นกระฎุมพีก็ยังชุมนุม […] ” [ 145 ]

นวนิยายในการปรับเปลี่ยน

Victor Hugo ทิ้งนวนิยายไว้เก้าเล่ม ครั้งแรกBug-Jargalเขียนเมื่ออายุสิบหก; สุดท้ายเก้าสิบสามเวลาเจ็ดสิบสอง นวนิยายเรื่องนี้ครอบคลุมทุกยุคทุกสมัยของนักเขียน ทุกแฟชั่น และกระแสวรรณกรรมทั้งหมดในยุคของเขา โดยไม่เคยสับสนกับสิ่งใดเลย ในความเป็นจริง นอกเหนือจากการล้อเลียนแล้ว อูโกยังใช้เทคนิคต่างๆ ของนวนิยายยอดนิยมด้วยการขยายขอบเขตและล้มล้างประเภทต่างๆ โดยไปไกลกว่านั้น[ 146 ]  : ถ้าHan d'Islandeในปี 1823 Bug-Jargalตีพิมพ์ในปี 1826 หรือNotre-Dame de Parisในปี 1831 มีลักษณะคล้ายกับนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในสมัยนิยมเมื่อต้นศตวรรษ ที่ 19 ศตวรรษพวกเขาเกินกรอบ ฮิวโก้ไม่ใช่วอลเตอร์ สก็อตต์และนวนิยายเรื่องนี้ได้พัฒนาไปสู่มหากาพย์และความยิ่งใหญ่ร่วมกับเขา

วันสุดท้ายของนักโทษในปี พ.ศ. 2372 และโกลด เกอซ์ ในปี พ.ศ. 2377 มีส่วนร่วมในการไตร่ตรองทางสังคม โดยตรงแต่ก็ไม่สามารถให้คำจำกัดความได้ง่ายกว่า [ 147 สำหรับฮิวโก้เอง ต้องสร้างความแตกต่างระหว่าง "นวนิยายแห่งข้อเท็จจริงและนวนิยายแห่งการวิเคราะห์" สองเล่มสุดท้ายนี้เป็นทั้งนวนิยายอิงประวัติศาสตร์และสังคม แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือนวนิยายที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ - การยกเลิกโทษประหารชีวิต - ซึ่งไปไกลกว่ากรอบของนิยาย

CosetteภาพประกอบสำหรับLes MiserablesโดยÉmile Bayard

สิ่งเดียวกันนี้อาจกล่าวได้เกี่ยวกับ Les Miserablesซึ่งปรากฏ ในปี 1862 ท่ามกลางยุคสัจนิยมแต่ได้ยืมคุณลักษณะบางอย่างมา.

ในจดหมายถึงลามาร์ทีนวิกเตอร์ อูโกอธิบายว่า“ใช่ ตราบเท่าที่มนุษย์ได้รับอนุญาตให้ทำได้ ฉันก็อยากจะทำลายความตายของมนุษย์ ฉันประณามความเป็นทาส ฉันไล่ความทุกข์ยาก ฉันสอนความไม่รู้ ฉันรักษาโรค ฉันจุดไฟในยามค่ำคืน ฉันเกลียดความเกลียดชัง นั่นคือสิ่งที่ฉันเป็น และนั่นคือเหตุผลที่ฉันสร้างLes Miserables ในความคิดของฉันLes Miserables เป็นเพียงหนังสือที่มีความเป็นพี่น้องกันเป็นพื้นฐานและมีความก้าวหน้าเป็น จุดสูงสุด

ความสำเร็จที่ได้รับความนิยมอย่างน่าอัศจรรย์นี้กระตุ้นให้เกิดคำเสียดสีของชาว Goncourts โดยเฉพาะอย่างยิ่งพบว่า"เป็นเรื่องน่าขบขันที่ได้รับเงินสองแสนฟรังก์ […] ด้วยความเสียใจต่อความทุกข์ยากของประชาชน " [ 150 ]

ทุกวันนี้ยังคงสร้างความสับสนให้กับนักวิจารณ์ เพราะมันสลับไปมาระหว่างละครประโลมโลกยอดนิยม ภาพวาดที่เหมือนจริง และเรียงความเกี่ยวกับการสอน [ 151 ]

ในทำนองเดียวกัน ในLes Travailleurs de la mer (1866) และL'Homme qui rit (1869) อูโกใกล้ชิดกับ สุนทรียภาพ โรแมนติกของช่วงเปลี่ยนศตวรรษด้วยตัวละครที่ผิดรูป สัตว์ประหลาด และธรรมชาติที่น่าสะพรึงกลัว[ 152 ] . ในนวนิยาย เรื่อง นี้วิกเตอร์ อูโก แนะนำคำว่า "ปลาหมึกยักษ์" เป็นภาษาฝรั่งเศส

ในที่สุด ในปี ค.ศ. 1874 Quatrevingt-treizeก็ได้แสดงถึงความโรแมนติกที่เป็นรูปธรรมของธีม Hugolian เก่า: บทบาทผู้ก่อตั้งของ การปฏิวัติฝรั่งเศสในจิตสำนึกทางวรรณกรรม การเมือง สังคม และศีลธรรมของศตวรรษที่ 19 จากนั้นเขาก็ผสมผสานนวนิยายและประวัติศาสตร์เข้าด้วย กัน โดยที่งานเขียนไม่ได้ทำเครื่องหมายขอบเขตระหว่างเรื่องเล่า[ 154 ]

นวนิยายของ Hugolian ไม่ใช่ "ความบันเทิง": สำหรับเขา ศิลปะจะต้องสั่งสอนและโปรด [ ]ในเวลาเดียวกันและนวนิยายเรื่องนี้มักจะเป็นที่รับฟังการอภิปรายทางความคิดเกือบตลอดเวลา ค่าคงที่นี้ดำเนินไปในนวนิยายผู้เลิกทาสในวัยหนุ่มของเขา และยังคงดำเนินต่อไปในวัยผู้ใหญ่ ผ่านการพูดนอกเรื่องมากมายเกี่ยวกับความ ทุกข์ ยากทางวัตถุและศีลธรรมในLes Misérables [ t ]

กวีหรือนักประพันธ์ อูโกยังคงเป็นนักเขียนบทละครแห่งความตาย[ 155 ]และวีรบุรุษของเขา เช่นเดียวกับวีรบุรุษแห่งโศกนาฏกรรม กำลังดิ้นรนกับข้อจำกัดภายนอกและความตายที่ไม่อาจโอนอ่อนได้ บางครั้งก็เนื่องมาจากสังคม ( Jean Valjean  ; Claude Gueux  ; วีรบุรุษแห่งวันสุดท้ายของนักโทษ ) บางครั้งก็มาจากประวัติศาสตร์ ( เก้าสิบสาม ) หรือแม้แต่การกำเนิดของพวกเขา ( Quasimodo ) รสชาติแห่งมหากาพย์ สำหรับผู้ชายที่ต้องดิ้นรนกับพลังแห่งธรรมชาติ สังคม ความตาย ไม่เคยละทิ้งฮิวโก้[ 156 ] ; นักเขียนมักจะพบผู้ฟังของเขาเสมอโดยไม่เคยยอมจำนนต่อแฟชั่นและไม่มีใครแปลกใจที่เขาจะกลายเป็นคนคลาสสิกในช่วงชีวิตของเขา [ 157 ]

ตำราทางการเมืองในการปรับเปลี่ยน

Victor Hugo รวบรวมสุนทรพจน์หลักและตำราทางการเมืองของเขาในคอลเลกชันActes et paroleซึ่งตีพิมพ์เป็นสามเล่มในปี พ.ศ. 2418 และ พ.ศ. 2419 ชื่อก่อนการถูกเนรเทศ ตามลำดับ ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ พ.ศ. 2384 ถึง พ.ศ. 2394 ระหว่างการถูกเนรเทศในปี พ.ศ. 2395 ถึง พ.ศ. 2413 นับตั้งแต่ถูกเนรเทศในช่วงหลายปีหลังจากการกลับมายังฝรั่งเศสระหว่างปี พ.ศ. 2413 ถึง พ.ศ. 2419 ซึ่งมีการเพิ่มเล่มที่สี่ด้วย ตั้งแต่เนรเทศในช่วงระหว่าง พ.ศ. 2419 ถึง พ.ศ. 2428

เขาเป็นศัตรูตัวฉกาจของนโปเลียนที่ 3เขาเขียนผลงานสองชิ้นที่มุ่งเป้าไปที่บุคคลของจักรพรรดิโดยตรง ได้แก่ จุลสารนโปเลียน เลอ เปอตีซึ่งเขียนและตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2395 ในกรุงบรัสเซลส์ ไม่กี่เดือนหลังจากการ ลี้ภัยของเขา และHistoire d'un crimeเรื่องราวของเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2394ซึ่งเขาเริ่มเขียนในปี พ.ศ. 2395 และไม่ได้รับการตีพิมพ์จนกระทั่งในเวลาต่อมาหลังจากที่เขากลับจากการถูกเนรเทศในปี พ.ศ. 2420 และ พ.ศ. 2421

บันทึกการเดินทางในการปรับเปลี่ยน

วิกเตอร์ อูโกเดินทางบ่อยครั้งจนถึงปี ค.ศ. 1871 จากการเดินทางของเขา เขานำสมุดสเก็ตช์ภาพและบันทึกต่างๆ กลับมา[ 158 ] , [ 159 เราจึงสามารถอ้างอิงเรื่องราวการเดินทางไปเจนีวาและเทือกเขาแอลป์กับชาร์ลส โนเดียร์[ 160 ]ได้ นอกจากนี้ ในแต่ละปีเขายังออกเดินทางร่วมกับ Juliette Drouet เป็น เวลาหนึ่ง เดือนเพื่อสำรวจดินแดน ในฝรั่งเศสหรือยุโรป และกลับมาพร้อมกับโน้ตและภาพวาด จากการเดินทางบนแม่น้ำไรน์สามครั้ง (พ.ศ. 2381, พ.ศ. 2382, พ.ศ. 2383) เขาได้นำชุดจดหมาย บันทึกย่อ และภาพวาดที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2385 กลับมาและเสร็จสิ้นในปี พ.ศ. 2388 [ 161 ในช่วงทศวรรษที่ 1860เขาข้าม ราชรัฐลักเซมเบิร์กหลายครั้งในฐานะนักท่องเที่ยว เมื่อเขาเดินทางไปยังแม่น้ำไรน์ ของเยอรมัน (พ.ศ. 2405, พ.ศ. 2406, พ.ศ. 2407, พ.ศ. 2408) ย้อนกลับไปที่ ปารีส ในปี พ.ศ. 2414 เขาหยุดเดินทาง[ 158 ]

[ 399 ]

ดอสโตเยฟสกี้, ฟีโอดอร์ มิคาอิโลวิชการให้คะแนนและอิทธิพลของความคิดสร้างสรรค์

โคตร

งานของ Dostoevsky มีอิทธิพลอย่างมากต่อวัฒนธรรมรัสเซียและโลก มรดกทางวรรณกรรมของนักเขียนได้รับการประเมินแตกต่างกันทั้งในและต่างประเทศ เวลาได้แสดงให้เห็นว่าหนึ่งในบทวิจารณ์แรกของ V. G. Belinsky ปรากฏว่าถูกต้อง: “ พรสวรรค์ [ของ Dostoevsky] ของเขาอยู่ในประเภทของผู้ที่เข้าใจและรับรู้ไม่ได้โดยฉับพลัน ในเส้นทางอาชีพของเขา พรสวรรค์มากมายจะปรากฏ ขึ้น ซึ่งจะต่อต้านเขา แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะถูกลืมอย่างแม่นยำในเวลาที่เขาไปถึงจุดสุดยอดแห่งความรุ่งโรจน์ของเขา

N. N. Strakhovถือว่าคุณสมบัติสร้างสรรค์ที่โดดเด่นหลักของ Dostoevsky คือ "ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจในวงกว้างมาก ความสามารถในการเห็นอกเห็นใจกับชีวิตในการแสดงออกที่เป็นพื้นฐาน ความเข้าใจที่สามารถค้นพบการเคลื่อนไหวของมนุษย์อย่างแท้จริงในจิตวิญญาณที่บิดเบี้ยวและถูกระงับซึ่งดูเหมือนจะสิ้นสุด" ความสามารถในการ "วาดชีวิตภายในของผู้คนด้วยความละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง" ในขณะที่ใบหน้าหลักเขาแสดง "คนอ่อนแอจากเหตุผลหนึ่งหรืออีกเหตุผลหนึ่งที่ป่วยทางจิตถึงขีด จำกัด สุดท้ายของความเสื่อมโทรมของความแข็งแกร่งทางจิตไปจนถึงการทำให้ขุ่นมัวของ จิตใจไปสู่อาชญากรรม” Strakhov เรียกการต่อสู้ว่า "ระหว่างประกายไฟของพระเจ้าที่สามารถลุกไหม้ในตัวทุกคน กับโรคภัยไข้เจ็บภายในทุกประเภทที่เอาชนะผู้คน" 349] เป็นธีมงานของเขาที่สม่ำเสมอ

ก่อนปี 1917

ในปี 1905 บรรณาธิการของ Russian Biographical Dictionary A. A. Polovtsovเขียนว่าแม้จะมีวรรณกรรมมากมายเกี่ยวกับ F. M. Dostoevsky การประเมินที่ครอบคลุมและเป็นกลางของเขาในฐานะนักเขียนและบุคคลหนึ่งก็ถูกขัดขวางโดยการละเว้น การตัดสินและมุมมองที่ขัดแย้งกัน [350 ] .

D. P. Mirskyวิทยานิพนธ์หลักบางส่วน (แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) ของบทความเกี่ยวกับ Dostoevsky ซึ่งV. V. Nabokov ใช้ 50 ปีต่อมา [K 5] “ มีความโดดเด่นด้วยความรู้รอบด้านความเฉียบคมของการประเมินความหลงใหลในการโต้เถียงซึ่งบางครั้งก็นำไปสู่อัตนัย” [351]ถือว่าดอสโตเยฟสกีเป็นบุคคลที่ซับซ้อนมากทั้งจากมุมมองทางประวัติศาสตร์และจิตวิทยา ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะสร้างความแตกต่าง "ไม่เพียงแต่ระหว่างช่วงชีวิตที่ต่างกันและแนวความคิดโลกทัศน์ที่ต่างกันเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระดับที่แตกต่างกันของ บุคลิกภาพของเขา” [ 297 ]

ในช่วงชีวิตของนักเขียน นอกเหนือจากสิ่งพิมพ์ที่แยกจากกันแล้ว ยังมีการตีพิมพ์ผลงานที่รวบรวมไว้สองชิ้น: สองเล่ม (พ.ศ. 2403) และสี่เล่ม (พ.ศ. 2408-70) เมื่อผลงานที่ดีที่สุดของ Dostoevsky ได้รับการพิจารณา " บันทึกจากบ้านแห่งความตาย " [352] . การประเมินนี้แบ่งปันโดย L. N. Tolstoy และ V. I. Lenin [353] . "Double", "Notes from the Underground", " Idiot " ไม่สามารถเข้าใจได้สำหรับคนรุ่นเดียวกัน ต่อมาในงานของเขา "The Legend of the Grand Inquisitor" (1894), V. V. Rozanovเขียนเกี่ยวกับ "Notes from the Underground" ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของกิจกรรมวรรณกรรมของ Dostoevsky ซึ่งเป็นบรรทัดหลักในโลกทัศน์ของเขา นักวิจารณ์เพียงคนเดียวที่เข้าใจแนวคิดเชิงอุดมการณ์ของนวนิยายเรื่อง "The Idiot" คือฝ่ายตรงข้ามและฝ่ายตรงข้ามทางอุดมการณ์ของนักเขียนM. E. Saltykov-Shchedrin [4].

เมื่อเวลาผ่าน ไปอาชญากรรมและการลงโทษ " [257] [354] ได้รับการยอมรับว่าเป็นนวนิยายที่ดีที่สุด ในบทความที่สำคัญที่สุดโดยนักวิจารณ์ร่วมสมัยของ "Russian Jacobin " P. N. TkachevและนักทฤษฎีประชานิยมN. K. Mikhailovskyปัญหาทางปรัชญาที่ซับซ้อนของ "ปีศาจ" ถูกส่งผ่านไปอย่างเงียบ ๆ และความสนใจหลักจ่ายให้กับการวางแนวต่อต้านการทำลายล้างของ นวนิยาย[4] . แม้กระทั่งก่อนที่จะตีพิมพ์ " ปีศาจ " ดอสโตเยฟสกีคาดการณ์ว่าเขาจะได้รับเกียรติของการ " ถอยหลังเข้าคลอง " การประเมินผู้เขียนในฐานะนักปฏิกิริยานั้นยึดมั่นอย่างมั่นคงในลัทธิเสรีนิยมปฏิวัติ-ประชาธิปไตยและประชานิยมและต่อมาในการวิจารณ์ลัทธิมาร์กซิสต์[355]และพบได้ในนักเขียนร่วมสมัย ความไม่ลงรอยกันในการวิพากษ์วิจารณ์ลัทธิมาร์กซิสต์คือคำพูดของโรซา ลักเซมเบิร์ก ซึ่งเห็นด้วยกับการประเมินของดอสโตเยฟสกีใน ฐานะนักปฏิกิริยา แต่ในขณะเดียวกันก็ถือว่าพื้นฐานของงานของเขาไม่ใช่การตอบโต้[356] หลังจากการตายของนักเขียน The Brothers Karamazov ได้รับคะแนนที่สูงขึ้น D. P. Mirskyเขียนเกี่ยวกับนวนิยายอันยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของนักเขียน (“ Pentateuch” ที่ไม่มี“ Teenager”) เฉพาะในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เท่านั้นที่ Dostoevists เรียกนวนิยายที่มีชื่อเสียงที่สุดห้าเรื่องของนักเขียนว่า "The Great Pentateuch"

บุคลิกภาพของดอสโตเยฟสกีได้รับการประเมินอย่างคลุมเครือโดยบุคคลที่มีแนวคิดเสรีนิยมและประชาธิปไตยบาง คนโดยเฉพาะผู้นำของนักประชานิยม เสรีนิยม N.K. มิคาอิลอฟสกี้[357] [358] ในปี พ.ศ. 2456 แม็กซิ ม กอร์กี บรรยายถึงดอสโตเยฟสกีเป็นครั้งแรกว่าเป็น "อัจฉริยะที่ชั่วร้าย" และเป็นนักทำซาโดะมาโซคิสต์[359] [360 ]

ในปี 1912 V. F. Pereverzevเขียนว่าในแง่ของความจริงใจและความจริง ในแง่ของความคิดริเริ่มและความแปลกใหม่ของเนื้อหา คุณค่าทางศิลปะของผลงานของ Dostoevsky ได้รับการยอมรับในระดับสากล [361] และเขาแบ่งการประเมินความสำคัญของงานของ Dostoevsky ออกเป็นสามประเด็น ดูตามตัวแทนที่ดีที่สุด:

  • N. K. Mikhailovsky  - ตัวละครของ Dostoevsky เป็นคนป่วยทางจิตและขึ้นอยู่กับจิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่จะยุ่งกับพวกเขา ผลงานของ Dostoevsky ไม่มีคุณค่าทางศิลปะ
  • D. S. Merezhkovsky  - ผลงานของ Dostoevsky มีความสำคัญเชิงพยากรณ์และเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ วีรบุรุษของดอสโตเยฟสกีเป็นผู้ประกาศถึงมนุษยชาติยุคใหม่ แต่เราไม่สามารถเข้าใจความสำคัญของผลงานของดอสโตเยฟสกีได้
  • V. G. BelinskyและN. A. Dobrolyubov  วีรบุรุษแห่ง Dostoevsky เป็นตัวแทนของปรากฏการณ์ทางสังคมที่แพร่หลาย "ซึ่งกำหนดให้เราเป็นงานทางสังคมที่ยิ่งใหญ่ต่อหน้าเรา กำหนดให้เราต้องแก้ไขทั้งทางความคิดและโดยการกระทำ" [362 ] .

Pereverzev เขียนว่า:“ Mikhailovsky ไม่เข้าใจเลยถึงลักษณะสองประการของจิตใจของฮีโร่ของ Dostoevsky เลย <…> มิคาอิลอฟสกี้เข้าใจผิดเกี่ยวกับธรรมชาติของงานของดอสโตเยฟสกี” [363] . N. K. Mikhailovsky ไม่สามารถชื่นชมความซับซ้อนและความคิดริเริ่มของงานของ Dostoevsky ได้ปฏิเสธมนุษยนิยมของนักเขียนซึ่ง V. G. Belinsky และ N. A. Dobrolyubov ดึงความสนใจไม่เห็นในจิตวิทยาของ "ผู้เชี่ยวชาญหัวใจที่ยิ่งใหญ่" ถึงนวัตกรรมแห่งความสมจริง แต่ "โหดร้าย" พรสวรรค์” ถือเป็นคุณลักษณะหนึ่งของจิตวิทยาส่วนบุคคลของเขา[364]ฝ่ายตรงข้ามทางอุดมการณ์ของ Dostoevsky แบ่งปันการประเมินแบบคู่ - เสรีนิยม, เดโมแครต, คอมมิวนิสต์, ฟรอยเดียน, ไซออนิสต์เมื่อไม่ได้โต้แย้งความสำคัญระดับโลกของงานของนักเขียน: "ดอสโตเยฟสกีเป็นอัจฉริยะ แต่ ... " คำว่า "แต่" ตามมาด้วยป้ายอุดมการณ์เชิงลบ มุมมองดังกล่าวมีมาจนถึงทุกวันนี้

สำหรับการรับรู้ที่เพียงพอเกี่ยวกับการประเมินที่ขัดแย้งกันซึ่งขัดแย้งกันของผู้เขียนที่เชื่อถือได้ เราควรคำนึงถึงสถานการณ์ทางประวัติศาสตร์และการเมือง การยึดมั่นในอุดมการณ์บางอย่าง ตัวอย่างเช่นVl. S. Solovyovเขียนว่า Dostoevsky ผู้เผยพระวจนะ "เชื่อในพลังอันไม่มีที่สิ้นสุดของจิตวิญญาณมนุษย์" และG. M. Friedlanderอ้างถึงความคิดเห็นของผู้ก่อตั้งวรรณกรรมเกี่ยวกับสัจนิยมสังคมนิยม M. Gorky ซึ่งโต้แย้งกับ Dostoevsky เกี่ยวกับ "การไม่เชื่อในมนุษย์" การพูดเกินจริงของเขาเกี่ยวกับพลังแห่งความมืด" หลักการ "ที่โหดร้าย ที่สร้างขึ้นในมนุษย์ด้วยพลังแห่งทรัพย์สิน" [365]

ดอสโตเยฟสกีถูกเปรียบเทียบ กับเช็คสเปียร์ เป็นครั้งแรก โดยนักประวัติศาสตร์และผู้ชื่นชมนักเขียนอี.วี. ทาร์ลซึ่งถือว่านักเขียนชาวรัสเซียเป็น "ศิลปินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวรรณกรรมโลก" หลังจากพูดในปี 1900 ที่สภารัสเซียในกรุงวอร์ซอด้วยการบรรยายเรื่อง "Shakespeare and Dostoevsky" แล้ว E. V. Tarle เขียนถึง A. G. Dostoevsky: "Dostoevsky ได้เปิดเหวและเหวดังกล่าวในจิตวิญญาณของมนุษย์ ซึ่งยังคงปิดอยู่สำหรับทั้ง Shakespeare และ Tolstoy" [366 ] . ตามที่นักศาสนศาสตร์โรวัน วิลเลียมส์กล่าว ไว้ ดอสโตเยฟสกีเป็นนักประพันธ์ที่มีความคิดในแง่ของการสร้างสรรค์ เช่นเดียวกับเชคสเปียร์[335]

ผู้เขียนจำนวนหนึ่ง ( S. N. Bulgakovในรายงาน "โศกนาฏกรรมรัสเซีย" [367] , M. A. Voloshin , Vyach. Ivanovในคำพูดที่กลายเป็นพื้นฐานของบทความ "The Main Myth in the Novel" Demons "" [368] , V. V. Rozanov ) เป็นครั้งแรกที่เริ่มพูดถึงโศกนาฏกรรมในผลงานของ Dostoevsky ในปี 1911 Vyacheslav Ivanov เกี่ยวกับนวนิยายของ Dostoevsky ได้แนะนำคำศัพท์ใหม่ว่า "นวนิยายโศกนาฏกรรม" ซึ่ง D. S. Merezhkovsky , I. F. Annensky , A. L. Volynsky , A. V. Lunacharsky , V. V. Veresaev et al. ใช้พร้อมกับผู้เขียนที่กล่าวถึง .

VekhovtsyและนักปรัชญาศาสนาชาวรัสเซียN. A. Berdyaev [369] , S. N. Bulgakov, Vl. S. Solovyov , G. V. Florovsky , S. L. Frank , Lev Shestov [370]เป็นคนแรกที่ดึงดูดความสนใจไปที่แนวปรัชญาของงานของ Dostoevsky ผู้เขียนเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิด ของ ดอสโตเยฟสกี ในบทความและเอกสารของพวกเขา พวกเขาให้การประเมินงานของนักเขียนในแง่บวกมากที่สุดในการวิจารณ์ภาษารัสเซีย[371]

การไม่มีข้อโต้แย้งทางวิชาการเป็นลักษณะของผู้เขียนทุกคนที่หักล้างความสำคัญของงานของ Dostoevsky สำหรับการประเมินเชิงลบซึ่งในศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ก็เพียงพอที่จะกล่าวถึงความเจ็บป่วยร้ายแรงของผู้เขียนเมื่อมีความเข้าใจผิดร่วมกันว่าโรคลมชัก ทำให้เกิดการเสื่อมสลายของบุคลิกภาพ ข้อผิดพลาดหลักของผู้เขียนที่ให้การประเมินผลงานของ Dostoevsky ในเชิงลบคือการระบุตัวตนของผู้เขียนด้วยตัวละครในผลงานของเขาซึ่งได้รับการเตือนโดยผู้เขียนชีวประวัติคนแรกของนักเขียน O. F. Miller

ในช่วงยุคโซเวียต

ดอสโตเยฟสกีไม่สอดคล้องกับกรอบการวิจารณ์วรรณกรรมของลัทธิมาร์กซิสต์อย่างเป็นทางการ ในขณะที่เขาต่อต้านวิธีความรุนแรงในการต่อสู้เพื่อการปฏิวัติ ประกาศศาสนาคริสต์ และต่อต้านลัทธิต่ำช้า เลนินไม่ต้องการเสียเวลาอ่านนวนิยายของนักเขียน แต่หลังจากการเปรียบเทียบกับปีกที่รู้จักกันดีกับ "ดอสโตเยฟสกีที่เลวร้ายอย่างสุดขั้ว" นักวิจารณ์วรรณกรรมที่ปฏิวัติก็ต้องปฏิบัติตามหลักการของผู้นำ ในช่วงปี พ.ศ. 2463-2473 มีกรณีการปฏิเสธดอสโตเยฟสกีโดยสิ้นเชิง372]

การวิจารณ์วรรณกรรม ของลัทธิมาร์กซิสต์ - เลนินไม่สามารถถือว่าดอสโตเยฟสกีเป็นศัตรูทางชนชั้นซึ่งเป็นผู้ต่อต้านการปฏิวัติ แต่ผลงานของนักเขียนในเวลานั้นได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางและได้รับการชื่นชมอย่างสูงในโลกตะวันตก ภายใต้เงื่อนไขของการสร้างวัฒนธรรมชนชั้นกรรมาชีพ การวิจารณ์วรรณกรรมที่ปฏิวัติถูกบังคับให้โยน Dostoevsky ออกจากเรือแห่งความทันสมัยหรือปรับงานของเขาให้เข้ากับข้อกำหนดของอุดมการณ์โดยส่งผ่านคำถามที่ไม่สบายใจอย่างเงียบ ๆ [373 ] .

ในปีพ. ศ. 2464 A. V. Lunacharskyกล่าวสุนทรพจน์ในงานฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปีของการกำเนิดของ F. M. Dostoevsky จัดอันดับให้เขาเป็นหนึ่งในนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ในบรรดาผู้เผยพระวจนะผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัสเซีย:“ Dostoevsky ไม่เพียง แต่เป็นศิลปินเท่านั้น แต่ยังเป็นนักคิดด้วย . <…> Dostoevsky เป็นนักสังคมนิยม ดอสโตเยฟสกีเป็นนักปฏิวัติ! <…> ผู้รักชาติ” ผู้บังคับการศึกษาคนแรกของ RSFSR ได้ประกาศการค้นพบบางส่วนของนวนิยายเรื่อง "Demons" ซึ่งไม่ได้ตีพิมพ์ในฉบับตลอดชีวิตของ Dostoevsky ด้วยเหตุผลด้านการเซ็นเซอร์ และให้คำมั่นว่า: "ตอนนี้บทเหล่านี้จะถูกพิมพ์แล้ว" [ 374 บทที่ "ที่ Tikhon" ซึ่งเปลี่ยนการรับรู้ภาพลักษณ์ของStavroginและแนวคิดของนวนิยายอย่างรุนแรงได้รับการตีพิมพ์เป็นภาคผนวกในคอลเลกชันงานศิลปะโดย F. M. Dostoevsky ในปี 1926

ในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2464 สมาชิกของ Volfilaได้เฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปีวันเกิดของ F. M. Dostoevsky ใน Petrograd อย่างกว้างขวาง ในการประชุมของสมาคม มีการอ่านรายงาน 8 ฉบับในความทรงจำของนักเขียน (โดยเฉพาะV. B. Shklovsky , A. Z. Steinberg , Ivanov-Razumnik ) [375] . แต่อุดมการณ์ของลัทธิมาร์กซิสต์เริ่มที่จะปราบมนุษยชาติ ในการต่อสู้กับความขัดแย้งนักปรัชญาศาสนา ที่เคยชื่นชมผลงานของดอสโตเยฟสกีมาก่อนถูก บังคับ ให้เดินทางออกนอกประเทศด้วยเรือกลไฟเชิงปรัชญาและศูนย์ศึกษางานของดอสโตเยฟสกีได้ย้ายไปที่ปราก

เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2472 A. V. Lunacharsky กล่าวเปิดงานในตอนเย็นเพื่ออุทิศให้กับ F. M. Dostoevsky พูดถึงนักเขียนวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเราและเป็นหนึ่งในนักเขียนวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกกล่าวถึง Dostoevism และแบ่งปันการประเมินของ V. F. Pereverzev [ 376 ] : ดอสโตเยฟสกี “แม้จะมีต้นกำเนิดที่สูงส่งอย่างเป็นทางการ แต่เป็นตัวแทนของ raznochinskaya Russia ซึ่งเป็นตัวแทนของชนชั้นกระฎุมพี <…> แต่ Dostoevsky เป็นอันตรายหรือไม่? เป็นอันตรายมากในบาง กรณี แต่นั่น ไม่ได้หมายความว่าฉันคิดว่าควรห้ามในห้องสมุดหรือบนเวที

ภายใต้เงื่อนไขของการรณรงค์ต่อต้านการต่อต้านการปฏิวัติและการต่อต้านชาวยิวในสหภาพโซเวียตในช่วงทศวรรษที่ 1920 และ 1930 ดอสโตเยฟสกี "ผู้ต่อต้านชาวยิว" และ "ผู้ต่อต้านการปฏิวัติ" ไม่ใช่นักเขียนที่ถูกแบน แต่นวนิยาย " Demons " และ " The Writer's Diary " ได้รับการตีพิมพ์เฉพาะในผลงานที่รวบรวมเท่านั้น ไม่เคยตีพิมพ์เป็นสิ่งพิมพ์แยกต่างหาก ความสำคัญในผลงานของนักเขียนก็เงียบลง บทความเกี่ยวกับดอสโตเยฟสกีอยู่ในหนังสือเรียนของโรงเรียนโซเวียตเล่มแรกเกี่ยวกับวรรณกรรมที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2478 378]

ชื่อของ F.M. Dostoevsky หายไปจากรายชื่อผู้เขียนที่ศึกษาในหนังสือเรียนของโรงเรียนเล่มที่สองซึ่งสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2481-2483 [379] . ผลงานของนักเขียนถูกแยกออกจากโรงเรียนมาเป็นเวลานาน[380] [381]และแม้แต่โปรแกรมมหาวิทยาลัยในวรรณคดี[382 ] Dostoevsky ไม่ได้ตกอยู่ในวิหารของนักเขียนที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากทางการโซเวียต - ในบรรดาภาพนูนต่ำนูนสูง (Pushkin, Tolstoy, Chekhov, Gorky, Mayakovsky, Sholokhov; หรือ: Pushkin, Gogol, Tolstoy, Chekhov, Gorky, Mayakovsky) มี ไม่มีภาพของเขาบนอาคารของโรงเรียนโซเวียต

ในปีพ.ศ. 2499 นักเขียนได้รับการฟื้นฟูจากการวิจารณ์วรรณกรรมของโซเวียต เมื่อ "ความสำเร็จของดอสโตเยฟสกีในโลกตะวันตกมีค่ามากกว่าบาปทางอุดมการณ์ของเขาที่ต่อต้านระบอบการปกครองของสหภาพโซเวียต" และป้ายกำกับ "ปฏิกิริยา" [383 ] หายไปจากคำอธิบายของเขา ดอสโตเยฟสกีถูกรวมอยู่ในวิหารของหนังสือคลาสสิกโซเวียตรัสเซียในหนังสือเรียนล่าสุดสำหรับโรงเรียนฉบับปี 1969 384] ดังนั้นคำพูดของนักทฤษฎีของโรงเรียนอย่างเป็นทางการV. B. Shklovsky "งานของ Dostoevsky ตกอยู่ภายใต้ประวัติศาสตร์อันหนักหน่วงภายใต้แรงกดดันอันหนักหน่วงของอักษรแห่งกาลเวลาที่นำพา" จึงสามารถรับรู้ได้ไม่มากนักในช่วงเวลาก่อนชัยชนะของชนชั้นกรรมาชีพ การปฏิวัติ แต่เป็นการปฏิวัติหลังจากนั้น การค้นพบในภายหลังของนักโซเวียตดอสโตเยฟนิสต์สะท้อนให้เห็นในความคิดเห็นที่ได้รับการแก้ไขและเสริมของผลงานที่สมบูรณ์ 30 เล่มล่าสุดของ F. M. Dostoevsky[385] .

ในรัสเซียสมัยใหม่

นักวิจัยในประเทศของงานของ Dostoevsky ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมของ International Dostoevsky Societyตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1980 ในปี 1991 G. M. Fridlender สรุปผลลัพธ์ของความสำเร็จของโซเวียต Dostoyevsky ในบทความ “ Dostoevsky ในยุคแห่งการคิดใหม่” [380] . บรรณาธิการของสิ่งพิมพ์คอลเลกชันของซีรีส์“ Dostoevsky วัสดุและการวิจัย" เตือนถึงทัศนคติที่ระมัดระวังต่อบทความ รายงาน และบันทึกที่อ้างถึงผลงานของวลาดิมีร์ เลนิน ซึ่งการตัดสินบางส่วนอาจดูเหมือนผิดยุคสมัย ซึ่งสามารถนำไปใช้กับการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อศาสนาของนักเขียนโดยเฉพาะ [386 ] .

ในปี 1997 มูลนิธิ Dostoevsky ก่อตั้งขึ้น ในรัสเซียโดย Dostoevist I. L. Volgin [387 ]

ประธานสมาคม Dostoevsky นานาชาติV. N. Zakharovเขียนว่าในปัจจุบัน Dostoevsky เป็นหนึ่งในนักเขียนที่มีการศึกษาและศึกษามากที่สุด บรรณานุกรมการศึกษาผลงานของเขาได้รับการเติมเต็มทุกปีด้วยการเผยแพร่เอกสารหลายสิบเรื่องและบทความหลายร้อยบทความทั่วโลก[388] .

การประเมินผลงานของ Dostoevsky แบบเอกสิทธิ์เฉพาะบุคคลได้เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา แต่ยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน นักเขียนมิคาอิล เวลเลอร์ยอมรับว่าเขาเริ่มอ่านดอสโตเยฟสกี “ตอนอายุ 25 ปี - เขาไม่สนุกกับมัน เป็นภาษาที่เลอะเทอะและซึมเศร้าอย่างมาก หากต้องการอ่าน คุณต้องมีระบบประสาทที่มั่นคง ดังนั้น ที่โรงเรียน เราสามารถจำกัดตัวเองให้อยู่ในการบรรยายเรื่องดอสโตเยฟสกี ซึ่งเราสามารถร่างโครงร่าง  - อุดมการณ์ ปรัชญา ศิลปะ - แล้วปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักเรียนสำหรับอนาคต" [389]Dostoevologist B. N. Tikhomirov เชื่อว่าแม้ว่านวนิยายเรื่อง "อาชญากรรมและการลงโทษ" จะได้รับความนิยมในหลักสูตรของโรงเรียนที่มีความคิดแบบคริสเตียนในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา "สร้างความยากลำบากในตัวเองทั้งในการสอนและการรับรู้ของนักเรียน" ข้อเสนอเพื่อแทนที่สิ่งนี้ งานที่คนอื่นไม่พบการสนับสนุน - "นี่คือผลงานชิ้นเอกทางศิลปะ" [390] .

การประเมินของนักจิตวิเคราะห์

ซิกมันด์ ฟรอยด์ยกย่องผลงานของดอสโตเยฟสกี:

เขาเป็นคนที่มีข้อขัดแย้งน้อยที่สุดในฐานะนักเขียน ตำแหน่งของเขาทัดเทียมกับเช็คสเปียร์ The Brothers Karamazov เป็นนวนิยายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเขียนมา และ The Legend of the Grand Inquisitor เป็นหนึ่งในความสำเร็จสูงสุดของวรรณกรรมโลกซึ่งไม่สามารถประเมินสูงเกินไปได้

— ซิกมันด์ ฟรอยด์ ดอสโตเยฟสกี และ Parricide . — 1928.

ในจดหมายถึง Stefan Zweig ลงวันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2463 ฟรอยด์เขียนว่าดอสโตเยฟสกีไม่จำเป็นต้องมีจิตวิเคราะห์[391]เพราะจิตวิเคราะห์ไม่สามารถตรวจสอบปัญหาในการเขียนได้[392] ในเวลาเดียวกัน ฟรอยด์ไม่คิดว่าตัวเองเป็นนักเลงศิลปะ393] ผู้ก่อตั้งจิตวิเคราะห์ได้อุทิศบทความส่วนใหญ่ของเขา " Dostoevsky and Parricide " (1928) โดยตระหนักว่า Dostoevsky เป็นนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ โดยอุทิศให้กับการพิจารณาแง่มุมอื่นๆ ของ "บุคลิกภาพอันมั่งคั่ง" ของเขา และสามารถ "จากข้อมูลที่จำกัดมาสู่ข้อสรุปที่เป็นต้นฉบับและน่าเชื่อถือมากมายภายใน กรอบตรรกะของเขา" [393 ] ดอสโตเยฟสกีซึ่งมีลักษณะนิสัยแบบรัสเซียโดยทั่วไป - เพื่อทำข้อตกลงกับมโนธรรมของเขาเอง - เป็นคนบาปและเป็นอาชญากร[394]นักเขียนชาวรัสเซียยอมจำนนต่อผู้มีอำนาจทางโลกและจิตวิญญาณ นมัสการพระเจ้าซาร์และพระเจ้าของชาวคริสเตียน และหันมาสนใจลัทธิชาตินิยมรัสเซียที่ใจแข็ง การต่อสู้ทางศีลธรรมของเขาจบลงด้วยผลลัพธ์ที่น่าอับอาย: “ ดอสโตเยฟสกีพลาดโอกาสที่จะได้เป็นครูและผู้ปลดปล่อยมนุษยชาติเขาเข้าร่วมกับผู้คุมของเขา วัฒนธรรมในอนาคตของมนุษยชาติจะเป็นหนี้เขาเล็กน้อย” [392] . การพัฒนาวิทยานิพนธ์เหล่านี้สามารถติดตามได้ในผลงานของผู้ติดตามของฟรอยด์เมื่อพวกเขาพยายามใช้วิธีการจิตวิเคราะห์ในการศึกษางานของดอสโตเยฟสกี

ผลงานของ Sigmund Freud และผู้ติดตามของเขา (I. Neifeld, T. K. Rozental , I. D. Ermakov , N. E. Osipov ) เกี่ยวกับ Dostoevsky เป็นพยานถึงความไม่สอดคล้องกันของการใช้วิธีการจิตวิเคราะห์ในการวิจารณ์วรรณกรรม[395] . การประเมินผลงานของนักเขียนชาวรัสเซียโดยนักจิตวิเคราะห์ไม่สามารถทนต่อคำวิจารณ์ทางวิชาการได้[396] . V. S. Efremov อ้างอิงความคิดเห็นของ Dostoevist A. L. Böhmเกี่ยวกับ "การบุกรุกจิตวิเคราะห์ อย่างรุนแรงเข้าสู่ขอบเขตของการศึกษาวรรณกรรม”: “ดำเนินการโดยปราศจากความรู้พิเศษในสาขานั้น ความพยายามเหล่านี้มักจะนำไปสู่ความเอาแต่ใจซึ่งสวมอยู่ในรูปแบบของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ในกรณีส่วนใหญ่ ข้อสรุปในงานเหล่านี้จะขึ้นอยู่กับการไม่คำนึงถึงลักษณะเฉพาะของงานวรรณกรรมโดยสิ้นเชิง ข้อสรุปของผู้ติดตามของฟรอยด์ไม่สามารถถือเป็นสมมติฐานทางวิทยาศาสตร์ได้ เนื่องจากข้อโต้แย้งที่ใช้แหล่งข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือและไม่น่าเชื่อถือล้าสมัย[398]ไม่ได้คำนึงถึงบันทึกความทรงจำของคนรุ่นราวคราวเดียวกันและเอกสารที่ขัดแย้งกับวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับกลุ่มเอดิปุสตีความได้อย่างอิสระของผู้เขียน ข้อความ[399] . บทความเบื้องต้นโดย A. M. Etkindและความคิดเห็นของ E. N. Stroganova และ M. V. Stroganov ต่องานของ I. D. Ermakov เกี่ยวกับ Dostoevsky ซึ่งนักเขียนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้บุกเบิกด้านจิตวิเคราะห์ได้แสดงให้ผู้อ่านและนักวิจัยเห็นว่าการวิจารณ์วรรณกรรมทางจิตวิเคราะห์ไม่ควรเป็นเช่นไร [400] [401 ] [ 402 403 ]ซึ่งสมควรได้รับการไม่ชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ของนักปรัชญา[404]ทัศนคติที่มีอารมณ์ขันมากมายโดยV. F. Khodasevich [405]การประเมินที่คมชัดโดย G. A. Meyer [406]ทำให้เกิดรอยยิ้มและการปฏิเสธอย่างแข็งขันของผู้อ่านยุคใหม่[405] . ในบทความปี 2012 I. A. Esaulovวิเคราะห์ " ข้อกำหนดเพิ่มเติม บางประการแนวคิดของฟรอยด์และบทความของเขาเกี่ยวกับดอสโตเยฟสกี" โดยสังเกตว่าทัศนคติทางจิตต่อ " จิตไร้สำนึก ทางวัฒนธรรม " ของผู้ก่อตั้งจิตวิเคราะห์ยังคงเป็นลักษณะเฉพาะของการวิจารณ์วรรณกรรมหลังโซเวียตและ "<...> เส้นทางของดอสโตเยฟสกีและดอสโตเยฟสกีมีค่อนข้างมาก คิดถึงกัน เกือบร้อยปี" 407]

V. G. Kalashnikov ดึงความสนใจไปที่ความจริงที่ว่าT. K. Rosenthalซึ่งแตกต่างจาก Z. Freud และนักจิตวิเคราะห์อื่น ๆ ไม่คิดว่า " oedipal complex " เป็นสิ่งที่ชี้ขาดสำหรับบุคลิกภาพของนักเขียน[408]อ้างอิงความคิดเห็นของB. S. Meilakh : "ใน รัสเซียการถ่ายโอนลัทธิฟรอยด์ไปสู่ดินแห่งการศึกษาบุคลิกภาพเชิงสร้างสรรค์ของนักเขียนแสดงให้เห็นว่ามันไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง” [ 409]ข้อดีหลักของจิตวิเคราะห์คำนึงถึงการตีความความเจ็บป่วยของ F. M. Dostoevsky อย่างชัดเจนว่าเป็นอาการของโรคประสาทซึ่งเป็นเวลาหลายปีที่ยังคงไม่อยู่ในมุมมองของนักวิจัยซึ่งทำให้สามารถเอาชนะตำนานทั่วไปเกี่ยวกับโรคลมบ้าหมูของนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ได้ นักวิจัยเชื่อว่า "การค้นพบมากมายของนักจิตวิเคราะห์คนแรกอยู่ในรูปแบบทางศิลปะโดยปริยายที่คาดหวังไว้ในผลงานอัจฉริยะแห่งวรรณกรรมโลก" 410]

การรับรู้ในต่างประเทศ

ในปี พ.ศ. 2474 อี. เอช. คาร์เขียนว่า "ดอสโตเยฟสกีมีอิทธิพลต่อนักประพันธ์ชั้นนำเกือบทั้งหมดในอังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา" 411]

จากมุมมองของF. Kafkaดอสโตเยฟสกีเป็นหนึ่งในสี่ "ที่เขา (คาฟคา) รู้สึกถึงเครือญาติทางจิตวิญญาณด้วย" จาก "Letters to Felicia" (จดหมายลงวันที่ 09/02/1913 แปลโดย Rudnitsky): "ตัดสินด้วยตัวคุณเอง: จากสี่คนที่ฉัน (ไม่วางตัวเองอยู่ข้างๆ พวกเขาทั้งในด้านความแข็งแกร่งหรือพลังแห่งความคุ้มครอง) รู้สึกว่า เครือญาติทางสายเลือด Grillparzer, Dostoevsky, Kleist และ Flaubert - มีเพียง Dostoevsky เท่านั้นที่แต่งงาน... Grillparzer, Dostojewski, Kleist und Flaubert, hat nur Dostojewski geheiratet,.."}

ในเวลาเดียวกัน ในประเทศตะวันตก ซึ่งนวนิยายของดอสโตเย ฟ สกีได้รับความนิยมมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 งานของเขามี ผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อขบวนการที่มีแนวคิดเสรีนิยมโดยทั่วไป เช่น อัตถิภาวนิยมการแสดงออกและสถิตยศาสตร์ ในคำนำของกวีนิพนธ์ Existentialism จากดอสโตเยฟสกีถึงซาร์ตร์วอลเตอร์ คอฟมันน์เขียนว่าNotes from the Underground ของดอสโตเยฟสกี มีข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการเกิดขึ้นของลัทธิอัตถิภาวนิยมอยู่แล้ว อิทธิพลของ Dostoevsky สัมผัสได้ในผลงานคลาสสิกต่างประเทศมากมาย รวมถึงMarcel Proust [413] ., André Gide [414] [415] , Albert Camus[416] [417] , Jean-Paul Sartre [418]ในฝรั่งเศส Knut Hamsun [419]ในสวีเดน Thomas Mann [420] , Hermann Hesse [421] , Heinrich Böll [422]ในเยอรมนี William Faulkner [423] ,เออร์เนสต์ เฮมิงเวย์[424]ในอเมริกา,โคโบ อาเบะ ,เคนซาบุโระ โอเอะ[425]ในญี่ปุ่น

ตอลสตอย, เลฟ นิโคลาวิชความหมายและผลกระทบของความคิดสร้างสรรค์

ยัสนายา โปลยานา. เลฟ ตอลสตอย. 2448

ธรรมชาติของการรับรู้และการตีความผลงานของลีโอ ตอลสตอย ตลอดจนธรรมชาติของอิทธิพลของเขาที่มีต่อศิลปินแต่ละคนและต่อกระบวนการวรรณกรรม ส่วนใหญ่ถูกกำหนดโดยคุณลักษณะของแต่ละประเทศ พัฒนาการทางประวัติศาสตร์และศิลปะ ก่อนอื่นนักเขียนชาวฝรั่งเศสจึงมองว่าเขาเป็นศิลปินที่ต่อต้านลัทธิธรรมชาติและสามารถผสมผสานการพรรณนาถึงชีวิตที่แท้จริงเข้ากับจิตวิญญาณและความบริสุทธิ์ทางศีลธรรมในระดับสูง นักเขียนชาวอังกฤษอาศัยผลงานของเขาในการต่อสู้กับความหน้าซื่อใจคดแบบ " วิคตอเรียน " แบบดั้งเดิม พวกเขาเห็นตัวอย่างความกล้าหาญทางศิลปะระดับสูงในตัวเขา ในประเทศสหรัฐอเมริกาลีโอ ตอลสตอยกลายเป็นแกนนำสำหรับนักเขียนที่เน้นย้ำประเด็นทางสังคมที่เฉียบแหลมในงานศิลปะ ในเยอรมนี สุนทรพจน์ต่อต้านการทหารของเขาได้รับความสำคัญมากที่สุด นักเขียนชาวเยอรมันศึกษาประสบการณ์ของเขาในการบรรยายภาพสงครามที่สมจริง นักเขียนชาวสลาฟรู้สึกประทับใจกับความเห็นอกเห็นใจ ของ เขาต่อประเทศที่ถูกกดขี่ "เล็ก ๆ " เช่นเดียวกับผลงานของเขาที่เป็นวีรบุรุษของชาติ[168]

Leo Tolstoy มีผลกระทบอย่างมากต่อวิวัฒนาการของมนุษยนิยมในยุโรป ในการพัฒนาประเพณีที่สมจริงในวรรณคดีโลก อิทธิพลของเขาส่งผลกระทบต่องานของRomain Rolland , François MauriacและRoger Martin du Gardในฝรั่งเศส, Ernest HemingwayและThomas Wolfeในสหรัฐอเมริกา, John GalsworthyและBernard Shaw ใน อังกฤษ, Thomas MannและAnna Zegersในเยอรมนี, August StrindbergและArthur Lundqvistใน สวีเดน, Rainer Rilkeในออสเตรีย, Eliza Orzeszko , Bolesław Prus ,Yaroslav Ivashkevichในโปแลนด์, Maria Puimanovaในเชโกสโลวะเกีย, Lao Sheในประเทศจีน, Tokutomi Roca ใน ญี่ปุ่น และแต่ละคนได้รับอิทธิพลนี้ในแบบของเขาเอง[6]

นักเขียนแนวมนุษยนิยมตะวันตกเช่น Romain Rolland, Anatole France , Bernard Shaw, พี่น้องHeinrichและThomas Mann ถือว่า Tolstoy เป็นครูของพวกเขาและตั้งใจฟังเสียงที่กล่าวหาของผู้เขียนในงานของเขา Resurrection, Fruits of Enlightenment, Kreutzer Sonata, "Death of Ivan" อิลิช". โลกทัศน์เชิงวิพากษ์วิจารณ์ของตอลสตอยซึมซับจิตสำนึกของพวกเขาไม่เพียงแต่ผ่านการสื่อสารมวลชนและผลงานเชิงปรัชญาเท่านั้น แต่ยังผ่านงานศิลปะของเขาด้วย Heinrich Mann กล่าวว่าผลงานของ Tolstoy มีไว้เพื่อปัญญาชนชาวเยอรมันเป็นยาแก้พิษของNietzscheism สำหรับ ไฮน์ริช มานน์, ฌอง-ริชาร์ด บล็อก , แฮมลิน การ์แลนด์ลีโอ ตอลสตอยเป็นแบบอย่างของความบริสุทธิ์ทางศีลธรรมอันยิ่งใหญ่และการไม่ยอมอ่อนข้อต่อความชั่วร้ายทางสังคม และดึงดูดพวกเขาในฐานะศัตรูของผู้กดขี่และผู้พิทักษ์ของผู้ถูกกดขี่ แนวคิดเชิงสุนทรีย์ของโลกทัศน์ของตอลสตอยสะท้อนให้เห็นไม่ทางใดก็ทางหนึ่งในหนังสือ People's Theatre ของ Romain Rolland ในบทความของ Bernard Shaw และ Boleslav Prus (บทความ "ศิลปะคืออะไร") และในหนังสือ ของ Frank Norrisเรื่อง "The Responsibility of a Novelist" " ซึ่งผู้เขียนอ้างถึงตอลสตอย ซ้ำแล้วซ้ำอีก [168] .

สำหรับนักเขียนชาวยุโรปตะวันตกในรุ่น Romain Rolland ลีโอ ตอลสตอยเป็นพี่ชายและเป็นครู ที่นี่เป็นศูนย์กลางของแรงดึงดูดสำหรับพลังประชาธิปไตยและความเป็นจริงในการต่อสู้ทางอุดมการณ์และวรรณกรรมของต้นศตวรรษ แต่ยังเป็นหัวข้อถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อนทุกวัน ในเวลาเดียวกัน สำหรับนักเขียนรุ่นต่อมา ซึ่งเป็นรุ่นของLouis Aragonหรือ Ernest Hemingway งานของ Tolstoy กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมั่งคั่งทางวัฒนธรรมที่พวกเขาหลอมรวมในวัยเด็ก ทุกวันนี้นักเขียนร้อยแก้วชาวต่างชาติจำนวนมากที่ไม่ถือว่าตัวเองเป็นนักเรียนของตอลสตอยและไม่ได้กำหนดทัศนคติต่อเขาในขณะเดียวกันก็ซึมซับองค์ประกอบของประสบการณ์สร้างสรรค์ของเขาซึ่งกลายเป็นสมบัติทั่วไปของวรรณกรรมโลก [168 ] .

ลีโอ นิโคลาเยวิช ตอลสตอย ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมหลายครั้งในปี พ.ศ. 2445-2449 และรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปี พ.ศ. 2444, 2445 และ 2452 [170 ]

นัก