วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2567

กฎหมายไว้ใช้ในแผน#2

กฎหมายไว้ใช้ในแผน#2

 มาตรา๓๙๐ผู้ใดกระทำโดยประมาท และการกระทำนั้นเป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๙๑ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๙๒ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๙๓ผู้ใดดูหมิ่นผู้อื่นซึ่งหน้าหรือด้วยการโฆษณา ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท


มาตรา๓๙๗ผู้ใด ในที่สาธารณสถานหรือต่อหน้าธารกำนัล กระทำด้วยประการใด ๆ อันเป็นการรังแกหรือข่มเหงผู้อื่น หรือกระทำให้ผู้อื่นได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๘๔ผู้ใดแกล้งบอกเล่าความเท็จให้เลื่องลือจนเป็นเหตุให้ประชาชนตื่นตกใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๘๑ผู้ใดกระทำการทารุณต่อสัตว์ หรือฆ่าสัตว์โดยให้ได้รับทุกขเวทนาอันไม่จำเป็น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๘๒ผู้ใดใช้ให้สัตว์ทำงานจนเกินสมควร หรือใช้ให้ทำงานอันไม่สมควร เพราะเหตุที่สัตว์นั้นป่วยเจ็บ ชรา หรืออ่อนอายุ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๗๘ผู้ใดเสพย์สุราหรือของเมาอย่างอื่น จนเปนเหตุให้ตนเมา ประพฤติวุ่นวาย หรือครองสติไม่ได้ ขณะอยู่ในถนนสาธารณหรือสาธารณสถาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท


มาตรา๓๗๙ผู้ใดชักหรือแสดงอาวุธในการวิวาทต่อสู้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบวัน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๗๒ผู้ใดทะเลาะกันอย่างอื้ออึงในทางสาธารณหรือสาธารณสถาน หรือกระทำโดยประการอื่นใดให้เสียความสงบเรียบร้อยในทางสาธารณหรือสาธารณสถาน ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท


มาตรา๓๐๙ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่า จะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำโดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป หรือได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกข่มขืนใจทำ ถอน ทำให้เสียหาย หรือทำลายเอกสารสิทธิอย่างใด ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปีหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ถ้ากระทำโดยอ้างอำนาจอั้งยี่หรือซ่องโจร ไม่ว่าอั้งยี่หรือซ่องโจรนั้นจะมีอยู่หรือไม่ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท


มาตรา๓๒๐ผู้ใดใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย ใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม หรือใช้วิธีข่มขืนใจด้วยประการอื่นใด พาหรือส่งคนออกไปนอกราชอาณาจักร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ถ้าความผิดตามวรรคแรกได้กระทำเพื่อให้ผู้ถูกพาหรือส่งไปนั้นตกอยู่ในอำนาจของผู้อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือเพื่อละทิ้งให้เป็นคนอนาถา ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท


มาตรา๒๙๐ผู้ใดมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี


ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงยี่สิบปี


มาตรา๒๙๔ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่ ถึงแก่ความตายโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ


มาตรา๒๙๕ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๒๙๖ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๒๙๗ผู้ใดกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำร้ายรับอันตรายสาหัส ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงสิบปี


อันตรายสาหัสนั้น คือ


(๑)ตาบอด หูหนวก ลิ้นขาด หรือเสียฆานประสาท


(๒)เสียอวัยวะสืบพันธุ์หรือความสามารถสืบพันธุ์


(๓)เสียแขน ขา มือ เท้า นิ้ว หรืออวัยวะอื่นใด


(๔)หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว


(๕)แท้งลูก


(๖)จิตพิการอย่างติดตัว


(๗)ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บเรื้อรังซึ่งอาจถึงตลอดชีวิต


(๘)ทุพพลภาพหรือป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน หรือจนประกอบกรณียกิจตามปกติไม่ได้เกินกว่ายี่สิบวัน


มาตรา๒๙๘ผู้ใดกระทำความผิดตามมาตรา ๒๙๗ ถ้าความผิดนั้นมีลักษณะประการหนึ่งประการใดดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๒๘๙ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี


มาตรา๒๙๙ผู้ใดเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลแต่สามคนขึ้นไป และบุคคลหนึ่งบุคคลใด ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่เข้าร่วมในการนั้นหรือไม่ รับอันตรายสาหัสโดยการกระทำในการชุลมุนต่อสู้นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ถ้าผู้ที่เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู่นั้นแสดงได้ว่า ได้กระทำไปเพื่อห้ามการชุลมุนต่อสู้นั้น หรือเพื่อป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ


มาตรา๓๓๐ในกรณีหมิ่นประมาท ถ้าผู้ถูกหาว่ากระทำความผิดพิสูจน์ได้ว่า ข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นความจริง ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ


แต่ห้ามไม่ให้พิสูจน์ ถ้าข้อที่หาว่าเป็นหมิ่นประมาทนั้นเป็นการใส่ความในเรื่องส่วนตัว และการพิสูจน์จะไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน


มาตรา๓๓๒ในคดีหมิ่นประมาทซึ่งมีคำพิพากษาว่าจำเลยมีความผิด ศาลอาจสั่ง


(๑)ให้ยึดและทำลายวัตถุหรือส่วนของวัตถุที่มีข้อความหมิ่นประมาท


(๒)ให้โฆษณาคำพิพากษาทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับหรือหลายฉบับ ครั้งเดียวหรือหลายครั้ง โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา


มาตรา๓๓๔ผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี และปรับไม่เกินหกพันบาท


มาตรา๓๓๕ผู้ใดลักทรัพย์


(๑)ในเวลากลางคืน


(๒)ในที่หรือบริเวณที่มีเหตุเพลิงไหม้ การระเบิดอุทกภัย หรือในที่หรือบริเวณที่มีอุบัติเหตุ เหตุทุกขภัยแก่รถไฟหรือยานพาหนะอื่นที่ประชาชนโดยสาร หรือภัยพิบัติอื่นทำนองเดียวกัน หรืออาศัยโอกาสที่มีเหตุเช่นว่านั้น หรืออาศัยโอกาสที่ประชาชนกำลังตื่นกลัวภยันตรายใด ๆ


(๓)โดยทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ หรือโดยผ่านสิ่งเช่นว่านั้นเข้าไปด้วยประการใด ๆ


(๔)โดยเข้าทางช่องทางซึ่งได้ทำขึ้นโดยไม่ได้จำนงให้เป็นทางคนเข้า หรือเข้าทางช่องทางซึ่งผู้เป็นใจเปิดไว้ให้


(๕)โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น มอบหน้า หรือทำด้วยประการอื่นเพื่อไม่ให้เห็นหรือจำหน้าได้


(๖)โดยลวงว่าเป็นเจ้าพนักงาน


(๗)โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป


(๘)ในเคหสถาน สถานที่ราชการ หรือสถานที่ที่จัดไว้เพื่อให้บริการสาธารณที่ตนได้เข้าไปโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือซ่อนตัวอยู่ในสถานที่นั้น ๆ


(๙)ในสถานที่บูชาสาธารณ สถานีรถไฟ ท่าอากาศยาน ที่จอดรถหรือเรือสาธารณ สาธารณสถานสำหรับขนถ่ายสินค้า หรือในยวดยานสาธารณ


(๑๐)ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์


(๑๑)ที่เป็นของนายจ้างหรือที่อยู่ในความครอบครองของนายจ้าง


(๑๒)ที่เป็นของผู้มีอาชีพกสิกรรม บรรดาที่เป็นผลิตภัณฑ์ พืชพันธุ์ สัตว์ หรือเครื่องมืออันมีไว้สำหรับประกอบกสิกรรมหรือได้มาจากการกสิกรรมนั้น


ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท


ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราดังกล่าวแล้วตั้งแต่สองอนุมาตราขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท


มาตรา๓๓๖ผู้ใดลักทรัพย์โดยฉกฉวยเอาซึ่งหน้า ผู้นั้นกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท


ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท


ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสองหมื่นบาท


ถ้าการวิ่งราวทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสามหมื่นบาท


มาตรา๓๓๗ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์สินของผู้ถูกขู่เข็ญหรือของบุคคลที่สาม จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกรรโชก ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท


ถ้าความผิดฐานกรรโชกได้กระทำโดย


(๑)ขู่ว่าจะฆ่า ขู่ว่าจะทำร้ายร่างกายให้ผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่นให้ได้รับอันตรายสาหัส หรือขู่ว่าจะทำให้เกิดเพลิงไหม้แก่ทรัพย์ของผู้ถูกข่มขืนใจหรือผู้อื่น หรือ


(๒)มีอาวุธติดตัวมาขู่เข็ญ


ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท


มาตรา๓๓๘ผู้ใดข่มขืนใจผู้อื่นให้ยอมให้หรือยอมจะให้ตนหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะเปิดเผยความลับ ซึ่งการเปิดเผยนั้นจะทำให้ผู้ถูกขู่เข็ญหรือบุคคลที่สามเสียหาย จนผู้ถูกข่มขืนใจยอมเช่นว่านั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานรีดเอาทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท


มาตรา๓๓๙ผู้ใดลักทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือขู่เข็ญว่าในทันใดนั้นจะใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อ


(๑)ให้ความสะดวกแก่การลักทรัพย์หรือการพาทรัพย์นั้นไป


(๒)ให้ยื่นให้ซึ่งทรัพย์นั้น


(๓)ยึดถือเอาทรัพย์นั้นไว้


(๔)ปกปิดการกระทำความผิดนั้น หรือ


(๕)ให้พ้นจากการจับกุม


ผู้นั้นกระทำความผิดฐานชิงทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท


ถ้าความผิดนั้นเป็นการกระทำที่ประกอบด้วยลักษณะดังที่บัญญัติไว้ในอนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดแห่งมาตรา ๓๓๕ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปีและปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท


ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สองปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท


ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นรับอันตรายสาหัส ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี และปรับตั้งแต่หกพันบาทถึงสามหมื่นบาท


ถ้าการชิงทรัพย์เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท


มาตรา๓๔๖ผู้ใด เพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอหรือเป็นเด็กเบาปัญญาและไม่สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสาระสำคัญแห่งการกระทำของตน จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๕๘ผู้ใดทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่า หรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่นหรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๒๒ผู้ใดเปิดผนึกหรือเอาจดหมาย โทรเลข หรือเอกสารใด ๆ ซึ่งปิดผนึกของผู้อื่นไป เพื่อล่วงรู้ข้อความก็ดี เพื่อนำข้อความในจดหมายโทรเลขหรือเอกสารเช่นว่านั้นออกเปิดเผยก็ดี ถ้าการกระทำนั้นน่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๔๑ผู้ใด โดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้ง และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงหรือบุคคลที่สามทำ ถอน หรือทำลายเอกสารสิทธิ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๔๒ถ้าในการกระทำความผิดฐานฉ้อโกง ผู้กระทำ


(๑)แสดงตนเป็นคนอื่น หรือ


(๒)อาศัยความเบาปัญญาของผู้ถูกหลอกลวงซึ่งเป็นเด็ก หรืออาศัยความอ่อนแอแห่งจิตของผู้ถูกหลอกลวง


ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา๓๔๓ถ้าการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๔๑ ได้กระทำด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จต่อประชาชน หรือด้วยการปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งแก่ประชาชน ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


ถ้าการกระทำความผิดดังกล่าวในวรรคแรก ต้องด้วยลักษณะดังกล่าวในมาตรา ๓๔๒ อนุมาตราหนึ่งอนุมาตราใดด้วย ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท

มาตรา๓๔๕ผู้ใดสั่งซื้อและบริโภคอาหารหรือเครื่องดื่ม หรือเข้าอยู่ในโรงแรม โดยรู้ว่าตนไม่สามารถชำระเงินค่าอาหาร ค่าเครื่องดื่ม หรือค่าอยู่ในโรงแรมนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน หรือปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


มาตรา๓๔๖ผู้ใด เพื่อเอาทรัพย์สินของผู้อื่นเป็นของตนหรือของบุคคลที่สาม ชักจูงผู้หนึ่งผู้ใดให้จำหน่ายโดยเสียเปรียบซึ่งทรัพย์สิน โดยอาศัยเหตุที่ผู้ถูกชักจูงมีจิตอ่อนแอหรือเป็นเด็กเบาปัญญาและไม่สามารถเข้าใจตามควรซึ่งสาระสำคัญแห่งการกระทำของตน จนผู้ถูกชักจูงจำหน่ายซึ่งทรัพย์สินนั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2567

 ตำแหน่งจี= ราศีธนู กลุ่มดาวคนแบกงู กลุ่มดาวแท่นบูชา

ตำแหน่งปี(กำแพง)= เปกาซัส(ม้าบิน) กลุ่มดาวแอนโดรเมดา ราศีมีน กลุ่มดาวซีตัส

ตำแหน่งอี้= กลุ่มดาวถ้วย กลุ่มดาวงูไฮดรา กลุ่มดาวเซ็กซ์แทนต์ กลุ่มดาวเครื่องสูบลม กลุ่มดาวใบเรือ

ตำแหน่งเจิ่น= กลุ่มดาวนกกา กลุ่มดาวงูไฮดรา กลุ่มดาวคนครึ่งม้า

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2567

เขียนตำราพิชัยสงครามขึ้นมาคุมแมว(เขียนครั้งแรก: วันพุธ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2567(ค.ศ.2024) เวลา:21นาฬิกา29นาที) ถ้าไม่สามารถคุมแมวในระยะยาวได้ ถึงระบายอารมณ์ไปก็เปล่าประโยชน์

  เขียนตำราพิชัยสงครามขึ้นมาคุมแมว(เขียนครั้งแรก: วันพุธ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2567(ค.ศ.2024) เวลา:21นาฬิกา29นาที) ถ้าไม่สามารถคุมแมวในระยะยาวได้ ถึงระบายอารมณ์ไปก็เปล่าประโยชน์

เขียนตำราพิชัยสงครามขึ้นมาคุมแมว(เขียนครั้งแรก: วันพุธ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2567(ค.ศ.2024) เวลา:21นาฬิกา29นาที)

 เขียนตำราพิชัยสงครามขึ้นมาคุมแมว(เขียนครั้งแรก: วันพุธ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2567(ค.ศ.2024) เวลา:21นาฬิกา29นาที)

วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2567

พิชัยสงครามจอห์นนี่ พิชัยสงครามปฏิพัทธิ์ ปิ่นรัตน์ how to win war

 พิชัยสงครามจอห์นนี่ พิชัยสงครามปฏิพัทธิ์ ปิ่นรัตน์ how to win war

เขียนครั้งแรก: วันพุธ 31 กรกฎาคม พ.ศ.2567(ค.ศ.2024) เวลา:21นาฬิกา29นาที
เขียนครั้งที่2: วันพฤหัสบดี 1 สิงหาคม พ.ศ.2567(ค.ศ.2024) เวลา:05นาฬิกา22นาที


หากขาดแหล่งน้ำอาจแพ้สงคราม หากมีแหล่งน้ำอาจชนะสงคราม อย่าให้อีกฝ่ายมีแหล่งน้ำ ให้เรามีหรือใช้แหล่งน้ำ ในสงครามอุมมาลากาซ ลากาซเปลี่ยนเส้นทางน้ำ อุมมาจึงขาดน้ำ ทัพอุมมาแพ้สงครามในเวลาต่อมา สงครามสิบกษัตริย์ในแคว้นปัญจาบ สุทัศพังเขื่อนให้น้ำท่วมจึงชนะ มากใช่ว่าจะชนะ ยิ่งใหญ่ใช่ว่าจะชนะ เกรียงไกรใช่ว่าจะชนะ ปราการธรรมชาติกั้นขวาง หากจะบุกย่อมต้องสูญเสียมาก แม่น้ำเชี่ยวกราก ลมมรสุมพัดแรง น้ำกว้างใหญ่และลึก ไร้ทางข้ามไป หากคิดจะข้ามไป แม้จะชนะ ก็อาจสูญเสียมาก มากใช่ว่าจะชนะน้อย มากกว่าใช่ว่าจะชนะน้อยกว่า สงครามไม่ควรรอ สงครามควรทันที เมื่อโจมตีควรโจมตีทันที ไม่ควรรอ ไม่ควรรอใครมาช่วย ไม่ควรใช้กำลังเสริม ควรใช้แต่กำลังของตัวเองฝ่ายเดียว ขจัดการรอเวลา กำจัดศัตรูทันที เราไม่เสียเวลา ฝ่ายตรงข้ามไม่มีเวลาตั้งตัว เมื่อเราไม่รอ เราจึงไม่เสียเวลา เมื่อเราไม่เสียเวลา กำลังเราจึงไม่เสียหาย ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามล้อมเรา ชนะ ใช่ว่าสงครามครั้งต่อไปจะชนะ ชนะหลายครั้ง ใช่ว่าสงครามครั้งต่อไปจะชนะ ชนะหลายครั้ง ใช่ว่าจะชนะทุกครั้ง เหตุนี้ ซุนจื่อจึงว่า รบร้อยชนะร้อย ไม่ใช่ยอดเยี่ยมในยอดเยี่ยม ไม่รบแต่ชนะฝ่ายตรงข้ามคือยอดเยี่ยมในยอดเยี่ยม สงครามไม่ได้มีอย่างน้อยสองคือแพ้ชนะ แต่สงครามมีอย่างน้อยสี่คือ แพ้ ชนะ เป็น ตาย เหตุนี้ แม่ทัพไร้ความสามารถ ไม่ฟังคำผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ จึงแพ้ จึงตาย แม่ทัพไร้ความสามารถ ฟังคำผู้ใต้บังคับบัญชาที่มีความสามารถ จึงชนะ จึงเป็น น้อยก็ชนะได้ ด้อยกว่าก็ชนะได้ วิธีรบด้อยกว่าก็ชนะได้ อาวุธด้อยกว่าก็ชนะได้ วิทยาการด้อยกว่าก็ชนะได้ มากก็แพ้ได้ เหนือกว่าก็แพ้ได้ วิธีรบเหนือกว่าก็แพ้ได้ อาวุธเหนือกว่าก็แพ้ได้ วิทยาการเหนือกว่าก็แพ้ได้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า มากใช่ว่าจะดี ไม่สุ่มไม่เสี่ยง ไม่สุ่มเสี่ยง คาดคะเนฝ่ายตรงข้ามแม่นยำเที่ยงตรง ก็ชนะได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาแม้มีความสามารถ ก็ไม่ควรใช้ผู้ที่อยู่ตรงข้ามเรา ไม่ควรใช้ผู้ที่ไม่มีจิตใจฝักใฝ่ด้วยเรา ไม่ควรใช้ผู้ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามเรา ไม่ควรใช้ผู้ที่เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามเรา ไม่ควรใช้ผู้ที่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายตรงข้ามเรา หากใช้จะแพ้ เหตุนี้ พึงเลือก ผู้มีความสามารถที่อยู่กับเรา ผู้มีความสามารถที่มีจิตใจฝักใฝ่ด้วยเรา ผู้มีความสามารถที่เป็นฝ่ายเดียวกับเรา ผู้มีความสามารถที่ไม่เคยเป็นฝ่ายตรงข้ามเรา ผู้มีความสามารถที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายตรงข้ามเรา มาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หากมีแหล่งน้ำอาจชนะสงคราม หากขาดแหล่งน้ำอาจแพ้สงคราม เหตุนี้ จึงห้ามทำสงครามในที่ขาดแหล่งน้ำ เหตุนี้ จึงห้ามทำสงครามในที่แล้ง ฝ่ายเราแจ้งข่าว แจ้งข้อมูลสำคัญ จะไม่ใช้ข่าวนั้น จะไม่ใช้ข้อมูลนั้น จะไม่ให้ความสำคัญ ไม่ได้ หากเป็นการขอความช่วยเหลือ จะเพิกเฉยไม่ได้ หากไม่มีโอกาสตอบโต้กลับได้จะแพ้ หากฝ่ายตรงข้ามไม่มีช่องว่างเราจะแพ้ หากฝ่ายตรงข้ามมีผู้คนหน้าที่ต่างกันความสามารถต่างกันประสานงานกันอย่างดีเป็นคนๆเดียวกัน เราจะแพ้ วิธีการรบแม้จะดี ใช่ว่าจะชนะ วิธีการรบแม้จะดี ใช่ว่าจะมีประสิทธิภาพ วิธีการรบแม้จะชนะ ใช่ว่าจะชนะทุกครั้ง เหตุนี้ ทุกวิธีการรบจึงล้วนมีช่องว่างทั้งหมด ไม่มีวิธีการรบใดไม่มีช่องว่าง เหตุนี้ หากฝ่ายตรงข้ามรู้วิธีการรบของเรา เราจะแพ้ เหตุนี้ จึงพึงเปลี่ยนวิธีการรบไปตามสถานการณ์ ไม่ควรใช้วิธีการรบในอดีตเป็นหลัก ควรใช้ความคิดตัวเอง หากไม่อาจชนะวิธีการรบของฝ่ายตรงข้ามได้ จะแพ้ หากไม่อาจเปลี่ยนวิธีการรบของเราตามวิธีการรบของฝ่ายตรงข้าม จะแพ้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า รบอย่างสามัญ ชนะอย่างพิสดาร เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า สามัญพิสดารพลิกผัน เห็นไม่รู้จบ เหมือนวงกลมไม่มีจุดเริ่มต้น จะมีจุดสิ้นสุดได้ยังไง เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ชัยชนะไม่ซ้ำซาก แต่ไม่รู้จบตามรูปลักษณ์ หากตัดสินใจรอให้อีกฝ่ายหมดปัจจัย เราจะแพ้ หากฝ่ายตรงข้ามไม่ขาดแคลน หากฝ่ายตรงข้ามลำเลียงอย่างดี หากฝ่ายตรงข้ามส่งบำรุงอย่างดี เราจะแพ้ ฝ่ายตรงข้ามถอยทัพอย่าได้ตาม เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า แสร้งถอยอย่าไล่ อ่อยเหยื่ออย่ากิน คืนถิ่นอย่าขวาง หากฝ่ายตรงข้ามตัดกำลังเรา หากฝ่ายตรงตัดเส้นทางเรา เราจะแพ้ หากฝ่ายตรงข้ามโจมตีไม่หยุด เราจะแพ้ หากฝ่ายตรงข้ามมาจากทุกทิศทาง เราจะแพ้ หากเราสับสน เราจะแพ้ หากไร้ความสามารถ หากพาพวกเราไปแพ้ พวกเราจะไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา หากพวกเราไม่อยู่ฝ่ายเดียวกับเรา หากพวกเราต่อต้านเรา เราจะแพ้ หรือ เราจะถูกสังหาร เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาที่ยังไม่สนิท จะกระด้างกระเดื่อง กระด้างกระเดื่องแล้วจะใช้ยาก ผู้ใต้บังคับบัญชาสนิท ไม่ยอมรับการลงโทษ ไม่ควรใช้ กล่อมเกลาด้วยคุณธรรม ให้พร้อมเพรียงด้วยวินัย เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนทารก จะร่วมลุยห้วยเหว ใส่ใจผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนลูกรัก จะร่วมเป็นร่วมตาย ถนอมแต่ใช้ไม่ได้ รักแต่สั่งไม่ได้ ผิดแต่คุมไม่ได้ ก็เหมือนเด็กดื้อเอาแต่ใจใช้ไม่ได้ แผนถึงดี หากไม่อาจดำเนินการ ก็เปล่าประโยชน์ เหตุนี้ จึงควรใช้แผนที่ดำเนินการได้ ไม่ควรใช้แผนที่ดำเนินการไม่ได้ เมื่อทำสงคราม ควรทำสงครามทันทีโดยไม่มีกำหนดการ ควรทำสงครามทันทีโดยไม่นัดหมายล่วงหน้า ควรทำสงครามทันทีโดยไม่บอกฝ่ายเราล่วงหน้า ควรทำสงครามทันทีโดยไม่บอกผู้ใต้บังคับบัญชาล่วงหน้า ไม่บอกแผนให้กับฝ่ายเรา ไม่บอกแผนให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่มีกำหนดการล่วงหน้า ไม่มีนัดหมายล่วงหน้า ทำสงครามทันที ทำสงครามกะทันหัน จึงจะรู้แพ้รู้ชนะ การเตรียมการสงคราม ควรเป็นการเตรียมการเสร็จในทันที ควรเป็นการเตรียมการที่ไม่ใช้เวลา ไม่ควรเป็นการเตรียมการที่ใช้เวลา ไม่ควรเป็นการเตรียมการที่รอเวลา หากไม่อาจชนะใจพวกเราได้ หากไม่อาจครองใจพวกเราได้  หากพวกเราต่อต้านเรา อาจนำเราไปสู่ความตาย เราไม่ควรมีศัตรู เราไม่ควรมีผู้ต่อต้าน เราไม่ควรมีฝ่ายตรงข้าม ไม่ควรมีใครเสียประโยชน์เพราะเรา เราไม่ควรได้ประโยชน์ ทุกคนได้ประโยชน์เพราะเรา ไม่มีใครแพ้เพราะเรา ไม่มีใครเสียอำนาจเพราะเรา ไม่มีใครเสียผลประโยชน์เพราะเรา ไม่มีใครเสียประโยชน์เพราะเรา ไร้ความขัดแย้ง เราจึงไม่ตาย มีชื่อเสียงใช่ว่ามีความสามารถ เหตุนี้ ถึงมีชื่อเสียงว่าไร้พ่ายใช่ว่าไร้พ่าย ไม่ควรถูกยั่วยุด้วยข้อมูลข่าวสารที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมาเอง ไม่ควรเคลื่อนไหวด้วยข้อมูลข่าวสารที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมาเอง ไม่ควรกำหนดวิธีรบด้วยข้อมูลข่าวสารที่ฝ่ายตรงข้ามปล่อยออกมาเอง เหตุนี้ จึงพึงปล่อยข้อมูลข่าวสารลวงให้ฝ่ายตรงข้าม เหตุนี้ หากฝ่ายตรงข้ามต้องการรู้ข้อมูลข่าวสารเรา จึงพึงให้ข้อมูลข่าวสารลวงให้ฝ่ายตรงข้าม  ผ่านดินแดนมาได้โดยไร้การต่อต้าน ผ่านมาได้โดยฝ่ายตรงข้ามไม่ป้องกัน ใช่ว่าอีกฝ่ายไม่เตรียมพร้อม ไร้การต่อต้านจากฝ่ายตรงข้าม ใช่ว่าเราจะชนะ พาหนะไม่อาจขึ้นเขาได้ พาหนะไม่อาจรบบนเขตเขาได้ พาหนะไม่อาจชนะเขตเขาได้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ที่สูงอย่าบุก อิงเนินอย่ารุก เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ข้ามเขาให้ข้ามหุบห้วย ตั้งทัพที่สูงโล่งแจ้ง อย่าบุกที่สูง นี้คือการบัญชาทัพในเขตเขา เหตุนี้ จึงห้ามโจมตีเขตเขา เหตุนี้ จึงห้ามโจมตีที่สูง เหตุนี้ หม่าซู่ตั้งทัพบนภูเขา ทัพเว่ยไม่โจมตีภูเขา ทัพเว่ยล้อมเขาไว้ เหตุนี้ หม่าซู่จึงแพ้ ทัพเว่ยจึงชนะ การถอยทัพโดยมากเป็นการกลับไปที่เดิม การถอยทัพโดยมากเป็นการใช้เส้นทางเดิม เหตุนี้ฝ่ายตรงข้ามใช้เส้นทางใด ตอนถอยทัพก็ใช้เส้นทางนั้น เหตุนี้ หากรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้เส้นทางใดบุก ก็ใช้เส้นทางนั้นกำหนดวิธีรบ ปิดฉากการถอยทัพของฝ่ายตรงข้าม เหตุนี้ หากรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามใช้เส้นทางใดบุก จึงควรปิดต้นทางนั้นไว้ เหตุนี้ การถอยทัพ ห้ามใช้เส้นทางเดิม เหตุนี้ การถอยทัพ ขาไปต้องเป็นคนละเส้นทางกับขากลับ หากเราไม่มีปัญหา ฝ่ายตรงข้ามจะไม่โจมตี หากเราไม่ขัดแย้ง ฝ่ายตรงข้ามจะไม่โจมตี หากถูกโจมตีตลบหลังจะแพ้ ไม่ควรแบ่งออกเป็นหลายขบวน ไม่ควรแบ่งออกเป็นหลายกอง ไม่ควรมีใครนำหน้า ไม่ควรมีใครตามหลัง ทัพต้องไม่ยืดยาว ทุกขบวนควรเป็นขบวนเดียวกัน ทุกกองควรเป็นกองเดียวกัน ไม่มีใครถึงก่อน ไม่มีใครถึงทีหลัง ไม่ควรมีใครอยู่หน้า ไม่ควรมีใครอยู่หลัง ไม่มีกองหน้า ไม่มีกองหลัง ไม่มีกองซ้าย ไม่มีกองขวา ทุกอย่างสำหรับสงครามรวมอยู่ในกองเดียว ทุกอย่างสำหรับสงครามรวมอยู่ในกองเดียว เดินทัพพร้อมกัน ไม่ใช้คนละเส้นทาง ใช้เส้นทางเดียวกัน เราจึงไม่สูญเสีย หากเราเหนื่อย เราจะแพ้ หากเราสูญเสีย เราจะแพ้ หากไม่อาจชนะธรรมชาติได้ หากไม่อาจควบคุมธรรมชาติ หากไม่อาจปรับตัวตามธรรมชาติได้ เราจะสูญเสีย เราจะแพ้ สภาพอากาศลำบาก เดินทางลำบาก เราจะแพ้ เราควรทำสงครามเดียว หากทำหลายสงครามพร้อมกัน เราจะแพ้ สูญเสียโอกาสชนะ หากเราไม่เป็นที่นิยม เราจะถูกแทรกแซง หากเราเป็นที่นิยม เราจะไม่ถูกแทรกแซง ธรรมชาติที่ลำบาก เราจะแพ้ ความเห็นแก่ตัว จะทำให้ทุกคนต่อต้าน ความเห็นแก่ตัว จะทำให้เราแพ้ ความเห็นแก่ตัว จะทำให้เราตาย เหตุนี้ เห็นแก่ผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว จะชนะใจคน ซ้อมรบทุกวัน ผู้ใต้บังคับบัญชาจะพร้อมรบ ซ้อมรบทุกวัน จะชนะ ไร้โรคภัยไร้ความเจ็บป่วยไร้ความเจ็บปวดไร้ความเจ็บ จะชนะ หากอยู่รอดได้ในธรรมชาติ จะชนะ หากอยู่รอดได้ในธรรมชาติของที่รบ จะชนะ ทำสงครามแม้ควรทำสงครามกะทันหัน ก็ควรเตรียมพร้อมก่อนทำสงคราม ไม่ได้เตรียมพร้อม ทำสงครามกะทันหัน จะแพ้ เตรียมพร้อมทันที ทำสงครามกะทันหันหลังเตรียมพร้อมเสร็จ จะชนะ เสบียงอาหารสำคัญ หากขาดจะแพ้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า เสบียงสมบูรณ์ชัยภูมิมั่นคงไพร่พลจักปราศจากโรคภัย เหตุนี้ พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามชิงเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามตัดเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายโจมตีเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีแหล่งเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามทำลายเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามรู้เส้นทางเสบียง พึงอย่าให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ที่อยู่เสบียง เหตุนี้ พึงชิงเสบียงจากฝ่ายตรงข้าม เหตุนี้จึงพึงชิงเสบียงจากที่รบ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า เอาข้าวข้าศึกหนึ่งจงเท่ากับของเราสิบจง เอาอาหารสัตว์หนึ่งสือเท่ากับของเรายี่สิบสือ เหตุนี้ หากชิงเสบียงข้าศึกไม่ได้ หากชิงเสบียงจากที่รบไม่ได้ พึงปลูกเสบียง พึงเลี้ยงเสบียง อย่าให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ ซุนจื่อว่า ข่มศัตรูด้วยแสนยานุภาพ ยึดเมือง ล่มประเทศได้ ซุนจื่อว่า ชนะได้ดินแดน ไม่เสริมให้มั่นคงแกร่งเข้มงวดกวดขัน สิ้นเปลืองอย่างสูญเปล่า เหตุนี้ หากกำลังไม่พอรักษาดินแดน พึงทำให้พอ เหตุนี้ หากกำลังไม่พอรักษาดินแดน พึงทำให้ดินแดนพอรักษาได้ด้วยกำลังของเรา พึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ประโยชน์จากการยอมแพ้เรา พึงทำให้ฝ่ายตรงข้ามเห็นอันตรายจากการไม่ยอมแพ้เรา ฝ่ายตรงข้ามจะกลายเป็นฝ่ายเรา พึงรบในที่อุดมสมบูรณ์ พึงรบในที่ไม่ขาดแคลน กำลังไม่มีความสามารถครบทุกด้าน กำลังมีความสามารถไม่ครบทุกด้าน กำลังไม่มีประสบการณ์ จะแพ้ กำลังมีความสามารถครบทุกด้าน กำลังมีประสบการณ์ กำลังผ่านศึก กำลังชาญศึก จะชนะ หากแพ้ กำลังเสียกำลังใจ เสียใจสู้รบ หวาดกลัว ตื่นตระหนก อกสั่น ขวัญแขวน สับสน ตึงเครียด ไม่รู้จะทำยังไง วิตกกังวล ขวัญกำลังใจตกต่ำ จะแพ้ เหตุนี้ พึงโจมตีผู้แพ้ พึงโจมตีผู้เสียกำลังใจ พึงโจมตีผู้เสียใจสู้รบ พึงโจมตีผู้หวาดกลัว พึงโจมตีผู้ตื่นตระหนก พึงโจมตีผู้อกสั่น พึงโจมตีผู้ขวัญแขวน พึงโจมตีผู้สับสน พึงโจมตีผู้ตึงเครียด พึงโจมตีผู้ไม่รู้จะทำยังไง พึงโจมตีผู้วิตกกังวล พึงโจมตีผู้ขวัญกำลังใจตกต่ำ จะชนะ หากกระจายกำลัง ไม่อาจรับศึกในทันที ไม่อาจเตรียมตัวรับศึก ไม่อาจเตรียมพร้อมรับศึก ไม่อาจรวมกำลัง จะแพ้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า เราพึงรวม แต่ข้าศึกกระจาย เรารวมเป็นหนึ่ง แต่ข้าศึกแยกเป็นสิบ หากเราถูกปล้น เราจะแพ้ หากผู้บัญชาการแข่งขันกัน หากผู้บัญชาการขัดแย้งกัน หากผู้บัญชาการอิจฉาริษยากัย หากผู้บัญชาการแย่งชิงกัน หากผู้บัญชาการเอาชนะกัน เราจะแพ้ หากเราเป็นที่นิยมมากไปจนเป็นคู่แข่งผู้อื่น หากเรามีอิทธิพลมากไปจนเป็นคู่แข่งผู้อื่น หากเราพัวพันกับการต่อต้านฝ่ายใด เราจะตาย หากเราไม่เป็นที่นิยมเป็นคู่แข่งคนอื่น หากเราไม่มีอิทธิพลเป็นคู่แข่งคนอื่น หากเราไม่พัวพันกับการต่อต้านฝ่ายใด เราจะไม่ตาย เหตุนี้ จึงมิแสดงตัว เหตุนี้ จึงมิพึงแสดงออก เหตุนี้ จึงมิพึงประกาศตัวเอง ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ แลกกันแพ้แลกกันชนะ การทำสงครามแบบกล้าแลก กล้าได้กล้าเสีย ใช่ว่าจะชนะ หากกำลังขาดแคลน จะแพ้ หากขาดกำลัง จะแพ้ ไม่สนิทชิดใกล้กับใคร ไม่มีอิทธิพล เราจึงไม่ตาย ชำนาญอย่างเดียว จะแพ้ ชำนาญทุกอย่าง จะชนะ เหตุนี้ กำลังต้องชำนาญทุกอย่าง เหตุนี้ กำลังต้องทำได้ทุกอย่าง เหตุนี้ กำลังจึงไม่ควรประกอบด้วยผู้ที่รบเป็นอย่างเดียว พึงรวมผู้คนทั่วไปจากทุกด้านรวมเป็นกำลังเดียวกัน พึงรวมผู้ชำนาญจากทุกอาชีพรวมเป็นกำลังเดียวกัน พึงรวมผู้ชำนาญจากทุกด้านรวมเป็นกำลังเดียวกัน พึงรวมผู้ชำนาญจากทุกงานรวมเป็นกำลังเดียวกัน ไม่ควรใช้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงอย่างเดียว ทุกเวลาคือเวลาทำสงคราม หากไม่เตรียมตัวรบ หากไม่เตรียมตัวทำสงคราม หากไม่เตรียมตัวรบตลอดเวลา หากไม่เตรียมตัวทำสงครามตลอดเวลา ฝ่ายตรงข้ามทำสงครามกะทันหัน เราจะแพ้ หากทำสงครามในตอนที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้เตรียมพร้อม หากทำสงครามตอนที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทำสงคราม หากทำสงครามในตอนที่ฝ่ายตรงข้ามไม่คิดทำสงคราม เราจะชนะ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า อย่าหวังข้าศึกไม่มา เราพึงเตรียมตัวให้พร้อม อย่าหวังข้าศึกไม่ตี เราพึงทำให้มิอาจโจมตี ไม่ควรมั่นใจว่าเราจะชนะ ไม่ควรมั่นใจว่าหากเราโจมตีเราจะชนะ หากน้ำท่วม หากเขื่อนถูกทำลาย หากทุกที่เต็มไปด้วยน้ำ หากทุกที่เต็มไปด้วยโคลน หากทุกที่เต็มไปด้วยหล่ม หากติดหล่ม ทั้งหมดเหล่านี้ จะทำให้การเดินทัพถูกขัดขวาง เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ข้ามน้ำพึงรีบผละห่าง ข้าศึกข้ามน้ำอย่าตี อย่าออกปะทะกลางน้ำ พึงนำทัพแสร้งถอยให้ข้าศึกข้ามน้ำกึ่งหนึ่ง จึงตี จักได้ อย่ารับศึกใกล้น้ำ อย่าตั้งค่ายใต้น้ำ นี้คือการบัญชาทัพในเขตน้ำ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ที่ราบลุ่มโคลนตม พึงเร่งจากไปอย่าใช้ หากจำเป็นต้องรบในที่ราบลุ่มโคลนตม พึงยึดแหล่งน้ำมีหญ้าหลังอิงแมกไม้ นี้คือการบัญชาทัพในที่ราบลุ่มโคลนตม ไม่มีใครรู้เรื่องฝ่ายตรงข้ามดีกว่าฝ่ายตรงข้ามเอง หากต้องการรู้ข้อมูลฝ่ายตรงข้าม พึงหาข้อมูลจากฝ่ายตรงข้ามเอง เมื่อรู้ฝ่ายตรงข้าม ก็กำหนดวิธีรบได้ กำหนดวิธีรบได้ ก็ชนะได้ หากต้องการได้พวกฝ่ายตรงข้ามมาเป็นพวกเรา พึงหาผู้ที่ได้ประโยชน์หากเราชนะ พึงหาผู้ที่เสียประโยชน์หากฝ่ายตรงข้ามชนะ พึงหาผู้ที่ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม พึงหาผู้ที่ขัดแย้งกับฝ่ายตรงข้าม พึงหาผู้ที่ไม่ลงรอยกับฝ่ายตรงข้าม พึงหาผู้ที่คิดแตกต่างกับฝ่ายตรงข้าม พึงหาผู้ที่คิดไม่เหมือนฝ่ายตรงข้าม ไม่ขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์กับฝ่ายตรงข้าม ไม่เสียผลประโยชน์หากฝ่ายตรงข้ามชนะ ไม่ได้ผลประโยชน์หากเราชนะ เข้ามาหาเรากะทันหัน อย่าได้ไว้ใจ หากพวกเราทรยศเรา ให้ฆ่าเสีย อย่าได้ให้มีชีวิตรอด เหตุนี้ พึงทำให้พวกเราได้ผลประโยชน์หากเราชนะ เหตุนี้พึงทำให้พวกเราไม่เสียผลประโยชน์หากเราชนะ เหตุนี้พึงทำให้พวกเราเสียผลประโยชน์หากฝ่ายตรงข้ามชนะ เหตุนี้พึงทำให้พวกเราไม่ได้ผลประโยชน์หากฝ่ายตรงข้ามชนะ เหตุนี้ จึงพึงทำให้พวกเรารู้ว่าหากเราชนะพวกเราได้ผลประโยชน์ หากฝ่ายตรงข้ามชนะเราเสียผลประโยชน์ ดังนี้ จะไม่มีผู้ทรยศ ดังนี้ จะไม่พวกเราไปเข้าฝ่ายตรงข้าม ไม่ควรทำลายเสบียงอาหารทรัพยากรในที่รบ พึงเก็บเสบียงอาหารทรัพยากรในที่รบในทันทีไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัวตั้งตัวติดได้ทัน เหตุนี้ หากฝ่ายตรงข้ามทำลายเสบียงอาหารทรัพยากรของฝ่ายตรงข้ามเองเสียเอง พึงปลูกพืชพึงเลี้ยงสัตว์พึงสร้างทรัพยากรใหม่ขึ้นมาแทนที่ อาวุธหมด เราจะแพ้ วิทยาการหมด เราจะแพ้ เสบียงอาหารทรัพยากรหมด เราจะแพ้ เครื่องมือหมด เราจะแพ้ เหตุนี้ พึงอย่าให้อีกฝ่ายได้อาวุธเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายทำลายอาวุธเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายได้วิทยาการเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายทำลายวิทยาการเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายได้เสบียงอาหารทรัพยากรเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายทำลายเสบียงอาหารทรัพยากรเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายได้เครื่องมือเรา พึงอย่าให้อีกฝ่ายทำลายเครื่องมือเรา เหตุนี้ จึงพึงชิงอาวุธฝ่ายตรงข้าม พึงทำลายอาวุธฝ่ายตรงข้าม พึงชิงวิทยาการฝ่ายตรงข้าม พึงทำลายวิทยาการฝ่ายตรงข้าม พึงชิงเสบียงอาหารทรัพยากรฝ่ายตรงข้าม พึงทำลายเสบียงอาหารทรัพยากรฝ่ายตรงข้าม พึงชิงเครื่องมือฝ่ายตรงข้าม พึงทำลายเครื่องมือฝ่ายตรงข้าม ตีเมืองใช่ว่าจะชนะ มีเครื่องมือ มีวิทยาการใช่ว่าจะชนะ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า เลวสุดคือตีเมือง เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ตีเมืองเป็นเรื่องสุดวิสัย เพราะการเตรียมรถโล่ การเตรียมยุทโทปกรณ์ สามเดือนจึงแล้วเสร็จ การถมเนินเข้าตีเมือง ต้องสามเดือนจึงลุล่วง แม่ทัพจักกลั้นโทสะมิได้ ทุ่มทหารเข้าตีดุจมดปลวก ทหารต้องล้มตายหนึ่งในสาม แต่เมืองก็มิแตก นี้คือความวิบัติจากการตีเมือง เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า การบัญชาทัพชั้นเอกคือชนะด้วยอุบาย ล้อมเมืองไว้นาน โจมตีเมืองไว้นาน ทำสงครามไว้นาน แม้จะชนะ ใช่ว่าไม่สูญเสีย หากฝ่ายอื่นโจมตีเราในตอนนั้นทันที เราก็จะแพ้ สงครามที่ใช้เวลานาน หากฝ่ายเราสูญเสียไปจำนวนมาก ถึงชนะ ก็ไม่อาจเสริมดินแดนที่ยึดมาได้ให้มั่นคง ไม่อาจรักษาดินแดนไว้ได้ ผู้ใต้บังคับบัญชาต้องสูญเสียไปจำนวนมาก ผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะต่อต้าน พันธมิตรก็จะต่อต้าน พันธมิตรก็ทิ้ง มิตรก็หาย ห้ามเดินทัพผ่านเส้นทางที่ธรรมชาติอาจทำให้เราตาย ห้ามเดินทัพผ่านเส้นที่ภูมิประเทศอาจทำให้เราตาย ห้ามเดินทัพผ่านเส้นทางที่พื้นที่อาจทำให้เราตาย เส้นทางลำบากอย่าเดินทัพผ่าน หากหมดกำลังใจจะแพ้ หากสิ้นหวังจะแพ้ หากเราถูกล้อม เราจะแพ้ ในระหว่างการเตรียมการ ในระหว่างการเตรียมพร้อม หากเราถูกโจมตี หากเราถูกขัดขวาง เราจะแพ้ หากเราถูกซุ่มโจมตี เราจะแพ้ เหตุนี้จึงพึงซุ่มโจมตีฝ่ายตรงข้าม สงครามยาวนาน เผชิญความวุ่นวาย ทั้งภายในภายนอก สงครามภายนอก สงครามกลางเมือง เศรษฐกิจตกต่ำ เงินของแผ่นดินสูญเสีย เงินของแผ่นดินน้อยลง หากถูกโจมตีทันทีในตอนนั้นก็จะแพ้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า ที่ว่ารบยืดเยื้อเป็นผลดีแก่ประเทศชาติก็ไม่มีมาก่อน เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า การทำศึกจึงสำคัญที่รวดเร็ว ใช่ที่ยืดเยื้อ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า พึงทำศึกรวดเร็ว เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า กรีทาทัพสิบหมื่น ออกรบพันลี้ ฝ่ายราษฎร์ต้องจ่าย ฝ่ายหลวงต้องใช้ สิ้นเปลืองวันละพันตำลึงทอง ดังนี้จึงกรีธาทัพสิบหมื่นได้ เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง หาใช่ความยอดเยี่ยมในความยอดเยี่ยมที่แท้ไม่ มิต้องรบแต่สยบทัพข้าศึกได้ จึงจะเป็นความยอดเยี่ยมในความยอดเยี่ยม เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า การบัญชาทัพชั้นเอกคือชนะด้วยอุบาย รองมาคือการทูต รองมาคือการรบ เลวสุดคือตีเมือง หากกำลังหมด หากกำลังมีไม่พอ ไม่อาจเอาชนะ จะแพ้ จะไม่อาจยึดดินแดนได้ พื้นที่น้ำ อาจทำให้พวกเราตาย เหตุนี้ซุนจื่อว่า ป่าเขาห้วยหนองคลองบึง ที่คับขันอันตรายเหล่านี้ เรียกว่ายุทธภูมิวิบาก ในยุทธภูมิวิบากพึงรีบผ่าน ในยุทธภูมิวิบากเราพึงเร่งเดินทัพให้พ้น หากเส้นทางถูกตัดขาด หากเส้นทางถูกปิด หากทางเข้าเข้าไม่ได้ หากทางออกออกไม่ได้ ไร้ทางเข้า สิ้นทางออก เราจะแพ้ เหตุนี้ เส้นทางเดินทัพ พึงควรรักษา ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามตัด ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามปิด ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามทำลาย เหตุนี้ พึงตัดเส้นทางฝ่ายตรงข้าม พึงปิดเส้นทางฝ่ายตรงข้าม พึงทำลายเส้นทางฝ่ายตรงข้าม ปิดทางเข้าฝ่ายตรงข้าม ตัดทางออกฝ่ายตรงข้าม ปิดทางเข้า ตัดทางออก เราจะชนะ รบกับฝ่ายตรงข้ามใช่ว่าจะชนะ เหตุนี้ จึงพึงชนะด้วยอุบาย หากไม่เชื่อฟังคำเตือนของผู้มีความสามารถ จะแพ้ ทำสงครามรวดเร็ว โจมตีรวดเร็ว บุกรวดเร็ว ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันตั้งตัว เราจะชนะ ระหว่างทำการ ฝ่ายตรงข้ามโจมตีเราได้ทุกเมื่อ เหตุ ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ พึงเตรียมการไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีเราระหว่างทำการ หากฝ่ายตรงข้ามแบ่งแยกเรา หากฝ่ายตรงข้ามตัดหน้าตัดหลังตัดซ้ายตัดขวาตัดเหนือตัดใต้ตัดออกตัดตกตัดเฉียงเหนือตัดเฉียงใต้ตัดบนตัดล่างเรา เราจะแพ้ เหตุนี้ ทุกกำลังของเราต้องเดินทางไปถึงกันได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้เวลา เหตุนี้ เราจึงพึงตัดหน้าตัดหลังตัดซ้ายตัดขวาตัดหน้าตัดหลังตัดเหนือตัดใต้ตัดออกตัดตกตัดเฉียงเหนือตัดเฉียงใต้ตัดบนตัดล่างแบ่งแยกฝ่ายตรงข้าม ฝ่ายตรงข้ามตัดเรา เราพึงทำลายทุกกำลังรบของฝ่ายตรงข้ามให้ราบคาบเสียในคราวเดียว หากการตัดกำลังไม่ได้ผล หากการล้อมไม่ได้ผล จะแพ้ หากไม่มีเงื่อนไขที่ทำให้ชนะจะแพ้ หากถูกสถานการณ์บังคับ หากถูกเงื่อนไขบังคับ หากถูกปัจจัยบังคับ จะแพ้ หากไม่พร้อมทำสงคราม จะแพ้ ทำสงครามกับฝ่ายไม่พร้อมทำสงคราม จะชนะ หากเราถูกล้อม จะแพ้ หากเราถูกโจมตีทุกทิศทาง จะแพ้ การเดินทัพของเราไม่ควรถูกสกัดกั้น การทำศึกของเราไม่ควรถูกสกัดกั้น การทำการของเราไม่ควรถูกสกัดกั้น หากถูกสกัดกั้น จะแพ้ เหตุนี้ พึงสกัดกั้นการเดินทัพฝ่ายตรงข้าม พึงสกัดกั้นการทำศึกฝ่ายตรงข้าม พึงสกัดกั้นการทำการฝ่ายตรงข้าม เหตุนี้ ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามรู้การเดินทัพเรา ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามรู้การทำศึกเรา ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามรู้การทำการเรา หากฝ่ายตรงข้ามรู้ เราจะแพ้ ทำการทันที ไม่มีผู้ใดรู้ จะชนะ ลมพัด ระวังการโจมตีด้วยไฟ ลมพัด พึงโจมตีด้วยไฟ โจมตีในที่ที่ไม่มีฝ่ายตรงข้าม จะชนะ ถึงชนะ ใช่ว่าจะไม่ถูกโจมตี เหตุนี้ เมื่อชนะจึงมิพึงฉลอง เหตุนี้ หากปราบฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทั้งหมด กลับฉลอง จะแพ้ เหตุนี้ หากปราบฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ทั้งหมด จึงมิพึงฉลอง พึงปราบฝ่ายตรงข้ามให้ได้ทั้งหมด ฝ่ายตรงข้ามติดศึกติดพันที่ด้านหนึ่ง เราโจมตีที่ด้านอื่น จะชนะ เหตุนี้ จึงไม่ควรทำศึกติดพัน เหตุนี้ เมื่อทำสงคราม จึงไม่ควรมุ่งไปที่ด้านใดด้านหนึ่ง ต้องมุ่งไปทุกด้าน ระวังการโจมตีที่จะมาจากทุกด้าน พึงอยู่ในที่รบอยู่ก่อนแล้ว พึงไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ พึงให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าจะมีสงคราม แต่ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่ามาจากเรา ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเราอยู่ในที่รบอยู่ก่อนแล้ว ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่ามีสงคราม ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่ามาจากเรา ฝ่ายตรงข้ามไม่รู้ว่าเราอยู่ในที่รบอยู่ก่อนแล้ว เราจะชนะ ไม่รู้ข้อมูลฝ่ายตรงข้าม เราจะแพ้ เหตุนี้ พึงรู้ข้อมูลฝ่ายตรงข้าม เหตุนี้ ไม่ควรให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ข้อมูลเรา พึงกระทำฝ่ายตรงข้ามก่อน ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามกระทำ หน้าผาสูงชัน ยอดเขาเทือกเขาสูง เดินทัพยากลำบากจนอาจถึงตาย หากฝ่ายตรงข้ามโจมตีต้องสูญเสียล้มตายมากมาย เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า พื้นที่ซึ่งเป็นห้วยเหว เป็นก้นกระทะ เป็นปลักโคลนตม เป็นหุบผาขาด เป็นขุนเขาโอบ เป็นป่ารกชัฎ ให้รีบหลีกเร้น อย่าได้กล้ำกราย เราพึงห่างออกให้ข้าศึกชิด เราพึงหันหน้าหาให้ข้าศึกพิง รบหลายที่รบมากไป จะแพ้ เมื่อมีสายลับในพวกเรา เมื่อมีไส้ศึกในพวกเรา เมื่อมีผู้ทรยศในพวกเรา ให้ฆ่าทิ้งให้ตายกันให้หมดทุกคน แล้วให้ฆ่าพวกเดียวกันกับสายลับหรือไส้ศึกหรือผู้ทรยศทั้งหมดให้ตายกันให้หมดทุกคนด้วย เหตุนี้ซุนจื่อจึงว่า แผนจารชนยังมิทันใช้ มีผู้ล่วงรู้ก่อน ให้ตายทั้งจารชนและผู้รู้ การแทรกแซงจากภายนอกจะทำให้สงครามจบยากขึ้น เหตุนี้จึงมิพึงขอความช่วยเหลือจากภายนอก  ทำสงครามไม่ควรมีผู้ใดล่วงรู้การทำสงคราม ไม่ควรมีผู้ใดรู้ว่าเราทำสงคราม ไม่ควรมีผู้ใดรู้ว่าเราโจมตี ไม่ควรมีผู้ใดรู้ว่าเราทำการ ไม่ควรมีผู้ใดรู้ว่าเราเตรียมการ ไม่ควรมีผู้ใดรู้ว่าเราเตรียมพร้อม ไม่มีผู้ใดตระหนัก ไม่ผู้ใดเตรียมพร้อม ไม่มีผู้ใดเตรียมการ ไม่มีผู้ใดป้องกัน ไม่มีผู้ใดทำสงคราม ไม่มีผู้ใดรู้ว่ามีสงคราม ไม่มีผู้ใดรู้สงคราม เหตุนี้จึงชนะ ความขัดแย้งนำไปสู่การล่มสลาย เหตุนี้ หากไร้ความขัดแย้ง จะชนะ ซุนจื่อว่า ผู้ที่ชนะรู้ว่าชนะก่อนจึงออกรบ ผู้แพ้ออกรบก่อนแล้วหวังว่าจะชนะ รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งหาใช่ความยอดเยี่ยมในความยอดเยี่ยมไม่ มิต้องรบแต่สยบทัพข้าศึกได้จึงจะเป็นความยอดเยี่ยมในความยอดเยี่ยม

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

นิสัย ความคิด

 นิสัย ความคิด

นิสัย(หรือจะไม่ทำเป็นคำศัพท์ทางการที่ตลกขบขัน) คือพฤติกรรมที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เป็นประจำ และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว [ 1]

โปสเตอร์นิสัยที่ดี

บทความในปี 1903 ในวารสารAmerican Journal of Psychologyได้ให้คำจำกัดความของ "นิสัย จากมุมมองของจิตวิทยา [ว่าเป็น] วิธีคิด ความเต็มใจ หรือความรู้สึกที่คงที่ซึ่งได้รับมาจาก ประสบการณ์ทางจิตที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า[2]พฤติกรรมตามนิสัยมักไม่ถูกสังเกตเห็นโดยบุคคลที่แสดงพฤติกรรมดังกล่าว เนื่องจากบุคคลนั้นไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ตนเองเมื่อทำกิจวัตรประจำวัน นิสัยเป็นสิ่งที่บังคับ[3]การศึกษาประสบการณ์ประจำวันในปี 2002 โดยนักวิจัยนิสัยWendy Woodและเพื่อนร่วมงานของเธอพบว่าพฤติกรรมประจำวันประมาณ 43% เกิดขึ้นจากนิสัย4]พฤติกรรมใหม่สามารถกลายเป็นอัตโนมัติผ่านกระบวนการสร้างนิสัยนิสัยเก่านั้นยากที่จะเลิกและนิสัยใหม่นั้นยากที่จะสร้างขึ้นเนื่องจากรูปแบบพฤติกรรมที่มนุษย์ทำซ้ำๆ จะถูกฝังอยู่ในเส้นทางประสาทแต่เป็นไปได้ที่จะสร้างนิสัยใหม่ผ่านการทำซ้ำ[5]

เมื่อพฤติกรรมเกิดขึ้นซ้ำๆ ในบริบทที่สอดคล้องกัน ความเชื่อมโยงระหว่างบริบทและการกระทำจะเพิ่มขึ้นทีละน้อย การกระทำดังกล่าวจะเพิ่มความเป็นอัตโนมัติของพฤติกรรมในบริบทนั้น[6]ลักษณะของพฤติกรรมอัตโนมัติ ได้แก่ ประสิทธิภาพ การขาดความตระหนัก การขาดเจตนา และการควบคุมไม่ได้[7]

ประวัติศาสตร์

แก้ไข

คำว่า habit มาจากคำภาษาละตินhabereซึ่งแปลว่า "มี ประกอบด้วย" และhabitusซึ่งแปลว่า "สภาพหรือสภาพความเป็นอยู่" นอกจากนี้ยังมาจากคำภาษาฝรั่งเศสhabit ( การออกเสียงภาษาฝรั่งเศส: [abi] ) ซึ่งแปลว่าเสื้อผ้า[8]ในศตวรรษที่ 13  CEคำว่า habit หมายความถึงเสื้อผ้าเท่านั้น ความหมายต่อมาได้พัฒนาไปสู่การใช้คำทั่วไป ซึ่งก็คือ "รูปแบบพฤติกรรมที่ได้มา" [8]

ในปี 1890 วิลเลียม เจมส์นักปรัชญาและนักจิตวิทยาผู้บุกเบิก ได้กล่าวถึงเรื่องนิสัยในหนังสือของเขาชื่อThe Principles of Psychologyเจมส์มองว่านิสัยเป็นแนวโน้มตามธรรมชาติในการดำเนินชีวิต สำหรับเขาแล้ว “สิ่งมีชีวิต... คือมัดของนิสัย” และนิสัยที่ “มีแนวโน้มโดยกำเนิด” เรียกว่าสัญชาตญาณ[9]เจมส์ยังอธิบายด้วยว่านิสัยสามารถควบคุมชีวิตของเราได้อย่างไร เขากล่าวว่า “ลำดับการกระทำทางจิตที่เกิดขึ้นซ้ำๆ บ่อยๆ มักจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นเราจึงพบว่าตัวเองถูกกระตุ้นโดยอัตโนมัติให้คิด รู้สึก หรือทำสิ่งที่เราเคยชินมาก่อนในการคิด รู้สึก หรือทำ ในสถานการณ์เดียวกัน โดยไม่มีจุดประสงค์ที่ตั้งขึ้นอย่างมีสติ หรือคาดหวังผลลัพธ์ใดๆ” [9]

รูปแบบ

แก้ไข

การสร้างนิสัยคือกระบวนการที่พฤติกรรมหนึ่งๆ กลายเป็นอัตโนมัติหรือเป็นนิสัยโดยการทำซ้ำๆ เป็นประจำ กระบวนการนี้จำลองเป็นการเพิ่มขึ้นของความเป็นอัตโนมัติตามจำนวนครั้งที่ทำซ้ำ จนถึงจุดสิ้นสุด[10] [11]กระบวนการสร้างนิสัยนี้อาจดำเนินไปอย่างช้าๆ Lally และคณะพบว่าเวลาเฉลี่ยที่ผู้เข้าร่วมจะไปถึงจุดสิ้นสุดของความเป็นอัตโนมัติคือ 66 วัน โดยมีช่วงเวลาตั้งแต่ 18–254 วัน[11]

การสร้างนิสัยมีองค์ประกอบหลัก 3 ประการ ได้แก่ สัญญาณจากบริบท การทำซ้ำพฤติกรรม และรางวัล[12]สัญญาณจากบริบทอาจเป็นการกระทำก่อนหน้า เวลาของวัน สถานที่ หรือสิ่งใดก็ตามที่กระตุ้นพฤติกรรมนิสัย ซึ่งอาจเป็นสิ่งใดก็ได้ที่เชื่อมโยงกับนิสัยนั้น และสิ่งนั้นจะทำให้พฤติกรรมนิสัยเริ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ พฤติกรรมคือพฤติกรรมจริงที่แสดงออก และรางวัล เช่น ความรู้สึกดีๆ จะช่วยเสริมสร้าง "วงจรนิสัย" [13]นิสัยอาจถูกกระตุ้นในช่วงแรกจากเป้าหมาย แต่เมื่อเวลาผ่านไป เป้าหมายนั้นจะมีความจำเป็นน้อยลง และนิสัยจะกลายเป็นอัตโนมัติมากขึ้น พบว่ารางวัลที่ไม่แน่นอนหรือไม่แน่นอนนั้นมีประสิทธิภาพอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้พฤติกรรม[14]

เครื่องมือดิจิทัลหลากหลายประเภท เช่น แอปออนไลน์หรือมือถือ ช่วยสนับสนุนการสร้างนิสัย ตัวอย่างเช่นHabiticaใช้Gamificationโดยนำกลยุทธ์ที่พบในวิดีโอเกมมาใช้กับงานในชีวิตจริงโดยเพิ่มรางวัล เช่น ประสบการณ์และทอง[15]อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบเครื่องมือดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าเครื่องมือส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบมาไม่ดีเมื่อเทียบกับทฤษฎีและไม่รองรับการพัฒนาการทำงานอัตโนมัติ[16]

พฤติกรรมการซื้อของมักจะเปลี่ยนแปลงได้ง่ายในช่วง "ช่วงเวลาสำคัญในชีวิต" เช่น การสำเร็จการศึกษา การแต่งงาน การเกิดของลูกคนแรก การย้ายบ้านใหม่ และการหย่าร้าง ร้านค้าบางแห่งใช้ข้อมูลการซื้อเพื่อพยายามตรวจจับเหตุการณ์เหล่านี้และใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาด[17]

นิสัยบางอย่างเรียกว่า "นิสัยหลัก" และนิสัยเหล่านี้มีอิทธิพลต่อการสร้างนิสัยอื่นๆ ตัวอย่างเช่น การระบุตัวตนว่าเป็นประเภทของบุคคลที่ดูแลร่างกายและมีนิสัยในการออกกำลังกายเป็นประจำอาจส่งผลต่อการกินอาหารที่ดีขึ้นและใช้บัตรเครดิตน้อยลง ในธุรกิจ ความปลอดภัยอาจเป็นนิสัยหลักที่ส่งผลต่อนิสัยอื่นๆ ที่ส่งผลให้มีประสิทธิผลมากขึ้น[17]

การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้โดย Adriaanse และคณะพบว่านิสัยมีส่วนช่วยเชื่อมโยงระหว่างการควบคุมตนเองและการบริโภคอาหารว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ[18]ผลการศึกษาแสดงให้เห็นเชิงประจักษ์ว่าการควบคุมตนเองในระดับสูงอาจส่งผลต่อการสร้างนิสัยและส่งผลต่อพฤติกรรมในที่สุด

เป้าหมาย

แก้ไข

อินเทอร์เฟซหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างนิสัยกับเป้าหมายถูกจำกัดด้วยวิธีการเฉพาะที่นิสัยถูกเรียนรู้และแสดงออกมาในหน่วยความจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยพื้นฐานของการเรียนรู้เชิงเชื่อมโยงนั้นมีลักษณะเฉพาะคือการสะสมข้อมูลอย่างช้าๆ และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไปในหน่วยความจำเชิงกระบวนการ [ 6]นิสัยสามารถให้ประโยชน์หรือทำร้ายเป้าหมายที่บุคคลกำหนดไว้สำหรับตนเองได้

เป้าหมายชี้นำนิสัยโดยให้แรงจูงใจที่เน้นผลลัพธ์เบื้องต้นสำหรับการตอบสนองซ้ำ ในแง่นี้ นิสัยมักเป็นร่องรอยของการแสวงหาเป้าหมายในอดีต[6]แม้ว่าเมื่อนิสัยบังคับให้ทำบางอย่าง แต่เป้าหมายที่มีสติผลักดันให้ทำอีกอย่างหนึ่ง บริบทที่ขัดแย้งก็เกิดขึ้น[19]เมื่อนิสัยมีอำนาจเหนือเป้าหมายที่มีสติ ข้อผิดพลาดในการจับภาพก็เกิดขึ้น

การทำนายพฤติกรรมยังมาจากเป้าหมาย การทำนายพฤติกรรมเป็นการยอมรับถึงความเป็นไปได้ที่นิสัยจะก่อตัวขึ้น แต่เพื่อที่จะสร้างนิสัยนั้นได้ เป้าหมายจะต้องเกิดขึ้นก่อน อิทธิพลของเป้าหมายที่มีต่อนิสัยเป็นสิ่งที่ทำให้นิสัยแตกต่างจากกระบวนการอัตโนมัติอื่นๆ ในจิตใจ[20]

ความกังวลใจ

แก้ไข

นิสัยบางอย่างเป็น นิสัย ที่เกิดจากความกังวลเช่น การกัดเล็บ พูดติดขัด สูดจมูกและโขกหัว นิสัยเหล่านี้คืออาการของภาวะทางอารมณ์และภาวะของความวิตกกังวล ความไม่มั่นคง ความรู้สึกด้อยค่า และความตึงเครียด นิสัยเหล่านี้มักก่อตัวขึ้นในช่วงอายุน้อย และอาจเกิดจากความต้องการความสนใจ เมื่อพยายามเอาชนะนิสัยที่เกิดจากความกังวล สิ่งสำคัญคือการแก้ไขสาเหตุของความกังวลมากกว่าอาการซึ่งเป็นนิสัยนั้นเอง[21]ความวิตกกังวลเป็นความผิดปกติที่มีลักษณะเป็นความกังวลมากเกินไปและไม่คาดคิด ซึ่งส่งผลกระทบเชิงลบต่อชีวิตประจำวันและกิจวัตรประจำวันของบุคคล[22]

นิสัยที่ไม่พึงประสงค์

แก้ไข

นิสัยที่ไม่ดีคือรูปแบบพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ ตัวอย่างทั่วไปของนิสัยส่วนบุคคล ได้แก่การผัดวันประกันพรุ่งการ กระสับกระส่าย การใช้จ่ายเกินตัวและการกัดเล็บ[23]ยิ่งเรารู้จักนิสัยที่ไม่ดีเหล่านี้เร็วเท่าไร การแก้ไขก็จะง่ายขึ้นเท่านั้น24]แทนที่จะพยายามกำจัดนิสัยที่ไม่ดีเพียงอย่างเดียว อาจมีประโยชน์มากกว่าหากพยายามแทนที่ด้วยกลไกการรับมือที่ดีต่อสุขภาพ[25] นิสัยที่ไม่พึงประสงค์อาจเกิดขึ้นได้ในระดับชุมชน เช่น มี พฤติกรรมผู้บริโภคที่เหมือนกันหลายอย่าง

ความตั้งใจและความตั้งใจ

แก้ไข

ปัจจัยสำคัญในการแยกแยะระหว่างนิสัยที่ไม่ดีกับการเสพติดหรือโรคทางจิตคือความมุ่งมั่นหากบุคคลสามารถควบคุมพฤติกรรมได้อย่างง่ายดาย นั่นก็ถือเป็นนิสัย[26] ความตั้งใจที่จะนำไปปฏิบัติสามารถเอาชนะผลเชิงลบของนิสัยที่ไม่ดีได้ แต่ดูเหมือนว่าจะมีผลโดยระงับนิสัยเหล่านั้นชั่วคราวแทนที่จะกำจัดมันไป[27]

การกำจัด

แก้ไข

มีเทคนิคมากมายในการขจัดนิสัยที่ไม่ดีที่เกิดขึ้นแล้ว เช่นการถอนตัวเสริมแรง : การระบุและขจัดปัจจัยที่กระตุ้นและเสริมสร้างนิสัย[28] ดูเหมือนว่า แกนฐานจะจดจำบริบทที่กระตุ้นนิสัย และสามารถฟื้นคืนนิสัยได้หากสิ่งกระตุ้นเกิดขึ้นอีกครั้ง[29]การขจัดนิสัยจะยากขึ้นตามอายุ เนื่องจากการทำซ้ำๆ จะเสริมสร้างนิสัยสะสมตลอดช่วงชีวิต[24]ตามที่Charles Duhiggกล่าวไว้ มีวงจรที่ประกอบด้วยสัญญาณ กิจวัตร และรางวัลสำหรับทุกนิสัย ตัวอย่างของวงจรนิสัย ได้แก่ รายการทีวีจบ (สัญญาณ) ไปที่ตู้เย็น (กิจวัตร) กินขนม(รางวัล) กุญแจสำคัญในการเปลี่ยนนิสัยคือการระบุสัญญาณและปรับเปลี่ยนกิจวัตรและรางวัลของคุณ[30]

ดูสิ่งนี้ด้วย

แก้ไข
แนวทางการปรับเปลี่ยนนิสัย
พฤติกรรมที่มีองค์ประกอบตามนิสัย
  • โรคอ้วนในวัยเด็ก
  • การกัดเล็บ
  • โรคผิวหนังอักเสบจากระบบประสาท
  • การแคะจมูก
  • ความผิดปกติ, การครอบงำ, บังคับ
  • การผัดวันประกันพรุ่ง
  • การดูดนิ้วหัวแม่มือ
  • โรคบูลิเมีย

    บุคลิกภาพคือ กลุ่มของรูป แบบพฤติกรรมการรู้คิดและอารมณ์ที่เชื่อมโยงกันของบุคคล ใดๆ ก็ตาม ซึ่งประกอบเป็นการ ปรับตัวเข้ากับชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของบุคคลนั้นๆ[1]รูปแบบที่เชื่อมโยงกันเหล่านี้ค่อนข้างคงที่ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในช่วงเวลาที่ยาวนาน[2] [3]

    แม้ว่าจะไม่มีคำจำกัดความของบุคลิกภาพที่เป็นเอกฉันท์ แต่ทฤษฎีส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ แรงจูงใจและปฏิสัมพันธ์ทางจิตวิทยา กับสภาพแวดล้อม [4] ทฤษฎีบุคลิกภาพ ที่อิงตามลักษณะนิสัยเช่น ทฤษฎีที่เรย์มอนด์ แคทเทลล์กำหนด บุคลิกภาพเป็นลักษณะที่ทำนายพฤติกรรมของบุคคล ในทางกลับกัน แนวทางที่อิงตามพฤติกรรมมากกว่าจะกำหนดบุคลิกภาพผ่านการเรียนรู้และนิสัยอย่างไรก็ตาม ทฤษฎีส่วนใหญ่ถือว่าบุคลิกภาพค่อนข้างเสถียร[2]

    การศึกษาจิตวิทยาของบุคลิกภาพ เรียกว่าจิตวิทยาบุคลิกภาพพยายามอธิบายแนวโน้มที่เป็นพื้นฐานของความแตกต่างในพฤติกรรม นักจิตวิทยาได้ใช้แนวทางที่แตกต่างกันมากมายในการศึกษาบุคลิกภาพ รวมถึงทฤษฎีทางชีววิทยา ความรู้ความเข้าใจ การเรียนรู้ และลักษณะนิสัย ตลอดจนแนวทางเชิงจิตพลวัตและมนุษยนิยม แนวทางต่างๆ ที่ใช้ในการศึกษาบุคลิกภาพในปัจจุบันสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลของนักทฤษฎีกลุ่มแรกในสาขานี้ ซึ่งได้แก่ซิกมันด์ ฟรอยด์อัลเฟรด แอดเลอร์ กอร์ดอนออลพอร์ต ฮันส์ ไอเซงค์อับราฮัม มาสโลว์และคาร์ล โรเจอร์

    การวัด

    แก้ไข

    บุคลิกภาพสามารถกำหนดได้โดยใช้การทดสอบหลากหลายประเภท เนื่องจากบุคลิกภาพเป็นแนวคิดที่ซับซ้อน มิติและมาตราส่วนของบุคลิกภาพจึงแตกต่างกันและมักกำหนดไว้ไม่ชัดเจน เครื่องมือหลักสองอย่างในการวัดบุคลิกภาพคือการทดสอบแบบปรนัยและการวัดแบบฉายภาพ ตัวอย่างของการทดสอบดังกล่าว ได้แก่Big Five Inventory (BFI), Minnesota Multiphasic Personality Inventory (MMPI-2), Rorschach Inkblot test , Neurotic Personality Questionnaire KON-2006 , [5]หรือEysenck's Personality Questionnaire (EPQ-R) การทดสอบทั้งหมดนี้มีประโยชน์เพราะมีทั้งความน่าเชื่อถือและความถูกต้องซึ่งเป็นปัจจัยสองประการที่ทำให้การทดสอบมีความแม่นยำ "แต่ละข้อควรได้รับอิทธิพลในระดับหนึ่งจากโครงสร้างลักษณะพื้นฐาน ทำให้เกิดรูปแบบของความสัมพันธ์เชิงบวกตราบใดที่ข้อทั้งหมดมีทิศทาง (ถ้อยคำ) ไปในทิศทางเดียวกัน" [6]เครื่องมือวัดล่าสุดที่นักจิตวิทยาใช้แต่ยังไม่เป็นที่รู้จักคือ16PFการวัดบุคลิกภาพตามทฤษฎีบุคลิกภาพ 16 ปัจจัยของ Cattell นักจิตวิทยายังใช้เป็นเครื่องมือวัดทางคลินิกเพื่อวินิจฉัยความผิดปกติทางจิตเวชและช่วยในการพยากรณ์โรคและวางแผนการบำบัด[7]

    บุคลิกภาพมักถูกแบ่งออกเป็นปัจจัยหรือมิติต่างๆ ซึ่งได้มาจากแบบสอบถามขนาดใหญ่โดยการวิเคราะห์ปัจจัย ทางสถิติ เมื่อนำมาพิจารณาเป็นสองมิติ มักจะใช้มิติของคนเก็บตัว-คนเปิดเผย และคนวิตกกังวล (อารมณ์ไม่มั่นคง-มั่นคง) ตามที่ไอเซงค์เสนอครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1960 [8]

    สินค้าคงคลัง 5 ปัจจัย

    แก้ไข
    ลักษณะบุคลิกภาพ Big Five

    การวิเคราะห์ปัจจัยจำนวนมากพบสิ่งที่เรียกว่าBig Fiveซึ่งได้แก่ความเปิดกว้างต่อประสบการณ์ความรับผิดชอบความเปิดเผยความเป็นมิตรและความวิตกกังวล ( หรือความมั่นคงทางอารมณ์) ที่เรียกว่า "OCEAN" องค์ประกอบเหล่านี้โดยทั่วไปจะคงที่เมื่อเวลาผ่านไป และความแปรปรวนประมาณครึ่งหนึ่งดูเหมือนจะเกิดจากพันธุกรรมของบุคคลมากกว่าผลกระทบจากสภาพแวดล้อมของบุคคลนั้น[9] [10]ปัจจัยทั้งห้านี้ประกอบด้วยสองด้านและหลายแง่มุม (เช่น ความเปิดกว้างแยกออกเป็นประสบการณ์และสติปัญญา ซึ่งแต่ละด้านแยกออกไปอีกเป็นแง่มุม เช่น จินตนาการและความคิด) [11]ปัจจัยทั้งห้านี้ยังแสดงความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันซึ่งบ่งชี้ถึงลักษณะเด่นลำดับที่สูงกว่า (เช่น ปัจจัยเบตา ซึ่งรวมความเปิดกว้างและการเปิดเผยเพื่อสร้างลักษณะเด่นที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจทางจิตใจและร่างกาย) [12]มีกรอบบุคลิกภาพหลายกรอบที่รับรู้ปัจจัย Big Five และมีการวัดบุคลิกภาพหลายพันแบบที่สามารถใช้เพื่อวัดแง่มุมเฉพาะรวมถึงลักษณะทั่วไป[13]

    งานวิจัยบางชิ้นได้ศึกษาว่าความสัมพันธ์ระหว่างความสุขและการแสดงออกซึ่งตัวตนในผู้ใหญ่สามารถพบเห็นในเด็กได้หรือไม่ นัยของการค้นพบเหล่านี้สามารถช่วยระบุเด็กที่มีแนวโน้มที่จะประสบกับภาวะซึมเศร้าและพัฒนารูปแบบการรักษาที่เด็กเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะตอบสนอง การวิจัยในเด็กและผู้ใหญ่แสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมมีอิทธิพลต่อระดับความสุขมากกว่าเมื่อเทียบกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม บุคลิกภาพไม่คงที่ตลอดช่วงชีวิต แต่จะเปลี่ยนแปลงได้เร็วกว่ามากในช่วงวัยเด็ก ดังนั้นโครงสร้างบุคลิกภาพในเด็กจึงเรียกว่าอารมณ์ อารมณ์ถือเป็นปัจจัยนำไปสู่บุคลิกภาพ[14]

    การค้นพบที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือความเชื่อมโยงระหว่างการแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวกและการแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวก พฤติกรรมการแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวกได้แก่ การแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวก พูดมาก กล้าแสดงออก ชอบผจญภัย และชอบเข้าสังคม สำหรับวัตถุประสงค์ของการศึกษาครั้งนี้ การแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวกถูกกำหนดให้เป็นประสบการณ์ของอารมณ์ที่มีความสุขและสนุกสนาน[15]การศึกษานี้ศึกษาผลกระทบของการแสดงออกในลักษณะที่ขัดต่อธรรมชาติของบุคคล กล่าวอีกนัยหนึ่ง การศึกษานี้มุ่งเน้นไปที่ข้อดีและข้อเสียของผู้ที่เป็นคนเก็บตัว (คนที่ขี้อาย ไม่ชอบเข้าสังคม และไม่ก้าวร้าว) ที่แสดงออกทางอารมณ์เชิงบวก และของผู้ที่เป็นคนเก็บตัวที่แสดงออกทางอารมณ์เชิงบวก หลังจากแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวกแล้ว ประสบการณ์การแสดงออกทางอารมณ์เชิงบวกของผู้ที่เก็บตัวดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น[15]ในขณะที่ผู้ที่เป็นคนเก็บตัวดูเหมือนว่าจะมีระดับความรู้สึกเชิงบวกที่ต่ำกว่าและประสบกับปรากฏการณ์ของการสูญเสียอัตตาการสูญเสียอัตตาหรือความเหนื่อยล้าทางปัญญาคือการใช้พลังงานของตนเองในการแสดงออกอย่างเปิดเผยในลักษณะที่ขัดต่อธรรมชาติภายในของตนเอง เมื่อผู้คนกระทำในลักษณะตรงกันข้าม พวกเขาจะหันเหพลังงาน (ทางปัญญา) ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไปควบคุมพฤติกรรมและทัศนคติที่แปลกประหลาดนี้ เนื่องจากพลังงานทั้งหมดที่มีถูกใช้เพื่อรักษาพฤติกรรมที่ตรงกันข้ามนี้ ผลลัพธ์ที่ได้คือไม่สามารถใช้พลังงานใดๆ ในการตัดสินใจที่สำคัญหรือยากลำบาก วางแผนสำหรับอนาคต ควบคุมหรือปรับอารมณ์ หรือทำงานทางปัญญาอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ[15]

    คำถามที่ถูกตั้งขึ้นคือเหตุใดผู้ที่มีความเปิดเผยจึงมักมีความสุขมากกว่าผู้ที่มีความเก็บตัว คำอธิบายสองประเภทที่พยายามอธิบายความแตกต่างนี้คือทฤษฎีเครื่องมือและทฤษฎีอารมณ์[9]ทฤษฎีเครื่องมือแนะนำว่าผู้ที่มีความเปิดเผยจะตัดสินใจเลือกสิ่งที่ทำให้พวกเขาอยู่ในสถานการณ์เชิงบวกมากกว่า และพวกเขาจะตอบสนองต่อสถานการณ์เชิงบวกได้รุนแรงกว่าผู้ที่มีความเก็บตัว ทฤษฎีอารมณ์แนะนำว่าผู้ที่มีความเปิดเผยมีแนวโน้มที่โดยทั่วไปทำให้พวกเขามีความรู้สึกเชิงบวกในระดับที่สูงกว่า ในการศึกษาเรื่องความเปิดเผย Lucas และ Baird [9]พบว่าไม่มีการสนับสนุนทางสถิติที่มีนัยสำคัญสำหรับทฤษฎีเครื่องมือ แต่อย่างไรก็ตาม พบว่าโดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีความเปิดเผยจะมีความรู้สึกเชิงบวกในระดับที่สูงกว่า

    มีการวิจัยเพื่อเปิดเผยตัวกลางบางอย่างที่รับผิดชอบต่อความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นคนเปิดเผยและความสุขความนับถือตนเองและความสามารถในการจัดการตนเองเป็นตัวกลางสองประการดังกล่าว

    ความสามารถในการทำงานให้บรรลุตามมาตรฐานส่วนบุคคล ความสามารถในการผลิตผลลัพธ์ที่ต้องการ และความรู้สึกว่าตนเองมีความสามารถที่จะตัดสินใจที่สำคัญในชีวิตได้[16]พบว่าความสามารถในการทำงานให้บรรลุตามเป้าหมายมีความเกี่ยวข้องกับลักษณะบุคลิกภาพของการแสดงออกและความเป็นอยู่ที่ดีในตนเอง[16]

    อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการรับรู้ตนเองมีส่วนช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างการแสดงออก (และความวิตกกังวล) กับความสุขส่วนบุคคลได้เพียงบางส่วนเท่านั้น[16]นั่นหมายความว่ามีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีส่วนช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างความสุขส่วนบุคคลกับลักษณะบุคลิกภาพความนับถือตนเองอาจเป็นปัจจัยที่คล้ายคลึงกันอีกประการหนึ่ง บุคคลที่มีความมั่นใจในตนเองและความสามารถในระดับที่สูงกว่าดูเหมือนจะมีระดับความเป็นอยู่ส่วนบุคคลในระดับที่สูงกว่าและมีระดับการแสดงออกส่วนบุคคลที่สูงกว่า[17]

    งานวิจัยอื่นๆ ได้ตรวจสอบปรากฏการณ์ของการรักษาอารมณ์เป็นอีกตัวกลางที่เป็นไปได้การรักษาอารมณ์คือความสามารถในการรักษาระดับความสุขเฉลี่ยของตนเองในสถานการณ์ที่คลุมเครือ ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่มีศักยภาพที่จะก่อให้เกิดอารมณ์เชิงบวกหรือเชิงลบในแต่ละบุคคล พบว่าการรักษาอารมณ์เป็นแรงผลักดันที่แข็งแกร่งกว่าในผู้ที่มีบุคลิกเปิดเผย[18]ซึ่งหมายความว่าระดับความสุขของผู้ที่มีบุคลิกเปิดเผยจะอ่อนไหวต่ออิทธิพลของเหตุการณ์ภายนอกน้อยกว่า การค้นพบนี้บ่งชี้ว่าอารมณ์เชิงบวกของผู้ที่มีบุคลิกเปิดเผยจะคงอยู่ได้นานกว่าผู้ที่มีบุคลิกเก็บตัว[18]

    แบบจำลองการพัฒนาทางชีววิทยา

    แก้ไข

    แนวคิดเกี่ยวกับบุคลิกภาพสมัยใหม่ เช่นแบบทดสอบอารมณ์และลักษณะนิสัยได้แนะนำอารมณ์พื้นฐานสี่ประการที่เชื่อว่าสะท้อนการตอบสนองพื้นฐานและอัตโนมัติต่ออันตรายและรางวัลซึ่งอาศัยการเรียนรู้แบบเชื่อมโยง อารมณ์สี่ประการ ได้แก่การหลีกเลี่ยงอันตรายการ พึ่งพา รางวัลการแสวงหาสิ่งแปลกใหม่และความพากเพียรมีความคล้ายคลึงกับแนวคิดโบราณเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่เศร้าหมอง ร่าเริง เจ้าอารมณ์ และเฉื่อยชา แม้ว่าอารมณ์จะสะท้อนถึงมิติมากกว่าหมวดหมู่ระยะทางก็ตาม

    ลักษณะการหลีกเลี่ยงอันตรายมีความเกี่ยวข้องกับการตอบสนองที่เพิ่มขึ้นในเครือข่ายความโดดเด่นของเกาะและอะมิกดาลา เช่นเดียวกับการจับกับตัวรับ 5-HT2 ที่ลดลงในขอบเขตรอบนอก และความเข้มข้นของ GABA ที่ลดลง การแสวงหาความแปลกใหม่มีความเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ลดลงในเครือข่ายความโดดเด่นของเกาะ การเชื่อมต่อของลายทางที่เพิ่มขึ้น การแสวงหาความแปลกใหม่มีความสัมพันธ์กับความสามารถในการสังเคราะห์โดปามีนในลายทางและความพร้อมของตัวรับอัตโนมัติที่ลดลงในสมองส่วนกลาง การพึ่งพารางวัลมีความเชื่อมโยงกับ ระบบ ออกซิโทซินโดยสังเกตเห็นความเข้มข้นของออกซิโทซินในพลาสมาที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับปริมาตรที่เพิ่มขึ้นในบริเวณที่เกี่ยวข้องกับออกซิโทซินของไฮโปทาลามัสการคงอยู่มีความเกี่ยวข้องกับ การเชื่อมต่อ mPFC ของลายทางที่เพิ่ม ขึ้น การกระตุ้นวงจรซิงกูเลตของลายทางด้านล่าง-ออร์บิโตฟรอนทัล-แอนทีเรียร์ ตลอดจนระดับอะไมเลสในน้ำลายที่เพิ่มขึ้นซึ่งบ่งชี้ถึงโทนของนอร์อะดรีเนอร์จิกที่เพิ่มขึ้น[19]

    อิทธิพลของสิ่งแวดล้อม

    แก้ไข

    ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าลักษณะบุคลิกภาพสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมมากกว่าที่นักวิจัยเชื่อกันในตอนแรก[10] [20]ความแตกต่างของบุคลิกภาพทำนายการเกิดขึ้นของประสบการณ์ชีวิต[20]

    การศึกษาวิจัยหนึ่งแสดงให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมในบ้าน โดยเฉพาะประเภทของพ่อแม่ที่บุคคลมี สามารถส่งผลต่อและหล่อหลอมบุคลิกภาพของพวกเขาได้ อย่างไร การทดลอง สถานการณ์แปลกๆ ของ Mary Ainsworth แสดงให้เห็นว่าทารกมีปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อแม่ทิ้งพวกเขาไว้ตามลำพังในห้องกับคนแปลกหน้า รูปแบบความผูกพันที่แตกต่างกัน ซึ่ง Ainsworth ระบุว่า ได้แก่ ปลอดภัย ไม่แน่ใจ หลีกเลี่ยง และไม่มีระเบียบ เด็กที่มีความผูกพันอย่างมั่นคงมักจะไว้วางใจ เข้ากับสังคมได้ดีกว่า และมั่นใจในชีวิตประจำวันของตนเอง เด็กที่ไม่มีระเบียบมีรายงานว่ามีระดับความวิตกกังวล ความโกรธ และพฤติกรรมเสี่ยงสูงกว่า[21]

    ทฤษฎีการเข้าสังคมแบบกลุ่มของ จูดิธ ริช แฮร์ริสตั้งสมมติฐานว่ากลุ่มเพื่อนของบุคคลมากกว่าบุคคลในครอบครัวเป็นอิทธิพลหลักต่อบุคลิกภาพและพฤติกรรมในวัยผู้ใหญ่ กระบวนการภายในและระหว่างกลุ่ม ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบคู่เช่นความสัมพันธ์แบบพ่อแม่-ลูก มีหน้าที่ในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและการปรับเปลี่ยนลักษณะบุคลิกภาพของเด็กจากสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ทฤษฎีนี้จึงชี้ให้เห็นว่ากลุ่มเพื่อนเป็นตัวแทนของอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมต่อบุคลิกภาพของเด็ก มากกว่ารูปแบบของพ่อแม่หรือสภาพแวดล้อมที่บ้าน[22]

    การเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพจากประสบการณ์ชีวิต: ผลของความมั่นคงในความผูกพันที่พอประมาณของ Tessuya Kawamoto พูดถึงการทดสอบในห้องปฏิบัติการที่สำคัญบางส่วน การศึกษานี้เน้นไปที่ผลกระทบของประสบการณ์ชีวิตต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพและประสบการณ์ชีวิตเป็นหลัก การประเมินแนะนำว่า "การสะสมประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันอาจช่วยพัฒนาบุคลิกภาพของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยได้ และอิทธิพลของสภาพแวดล้อมอาจแตกต่างกันไปตามความอ่อนไหวของแต่ละบุคคลต่อประสบการณ์ เช่น ความมั่นคงในความผูกพัน" [23]

    การศึกษาวิจัยบางกรณีชี้ให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมในครอบครัวร่วมกันระหว่างพี่น้องมีอิทธิพลต่อบุคลิกภาพน้อยกว่าประสบการณ์ส่วนตัวของลูกแต่ละคน ฝาแฝดเหมือนมีบุคลิกภาพที่คล้ายกันเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากพวกเขามีองค์ประกอบทางพันธุกรรมเหมือนกันมากกว่าสภาพแวดล้อมร่วมกัน[24]

    การศึกษาข้ามวัฒนธรรม

    แก้ไข

    เมื่อไม่นานมานี้มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับการศึกษาบุคลิกภาพในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน บางคนคิดว่าบุคลิกภาพมาจากวัฒนธรรมล้วนๆ ดังนั้นจึงไม่สามารถทำการศึกษาที่มีความหมายได้ในการศึกษาข้ามวัฒนธรรม ในทางกลับกัน หลายคนเชื่อว่าองค์ประกอบบางอย่างมีอยู่ในวัฒนธรรมทั้งหมด และกำลังมีการพยายามแสดงให้เห็นถึงการประยุกต์ใช้ "ห้าองค์ประกอบหลัก" ข้ามวัฒนธรรม[25]

    การประเมินข้ามวัฒนธรรมขึ้นอยู่กับความเป็นสากลของลักษณะบุคลิกภาพ ซึ่งก็คือว่ามีลักษณะร่วมกันระหว่างมนุษย์หรือไม่โดยไม่คำนึงถึงวัฒนธรรมหรือปัจจัยอื่น ๆ หากมีพื้นฐานร่วมกันของบุคลิกภาพ ก็สามารถศึกษาได้จากลักษณะของมนุษย์มากกว่าที่จะศึกษาภายในวัฒนธรรมบางวัฒนธรรม ซึ่งสามารถวัดได้โดยการเปรียบเทียบว่าเครื่องมือประเมินวัดโครงสร้างที่คล้ายคลึงกันในประเทศหรือวัฒนธรรมใด ๆ แนวทางสองวิธีในการวิจัยบุคลิกภาพคือ การดูลักษณะทางอารมณ์และทางอารมณ์ ลักษณะทางอารมณ์เป็นโครงสร้างเฉพาะของแต่ละวัฒนธรรม ซึ่งกำหนดโดยประเพณี ความคิด ความเชื่อ และลักษณะเฉพาะของท้องถิ่น ลักษณะทางอารมณ์ถือเป็นโครงสร้างสากล ซึ่งสร้างลักษณะเฉพาะที่ชัดเจนในวัฒนธรรมต่าง ๆ ที่แสดงถึงพื้นฐานทางชีววิทยาของบุคลิกภาพของมนุษย์[26]หากลักษณะบุคลิกภาพมีลักษณะเฉพาะสำหรับแต่ละวัฒนธรรม ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันก็ควรปรากฏชัดในวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม แนวคิดที่ว่าลักษณะบุคลิกภาพเป็นสากลในทุกวัฒนธรรมได้รับการสนับสนุนโดยการสร้างแบบจำลองบุคลิกภาพห้าปัจจัยผ่านการแปล NEO-PI-R หลาย ๆ แบบ ซึ่งเป็นหนึ่งในการวัดบุคลิกภาพที่ใช้กันอย่างแพร่หลายที่สุด[27]เมื่อทำการทดสอบ NEO-PI-R กับผู้คนจำนวน 7,134 คนใน 6 ภาษา ผลลัพธ์แสดงให้เห็นรูปแบบที่คล้ายคลึงกันของโครงสร้างพื้นฐานทั้งห้าแบบที่พบในโครงสร้างปัจจัยของอเมริกา[27]

    พบผลลัพธ์ที่คล้ายกันโดยใช้ Big Five Inventory (BFI) เนื่องจากมีการจัดการใน 56 ประเทศใน 28 ภาษา ปัจจัยทั้งห้านี้ยังคงได้รับการสนับสนุนทั้งทางแนวคิดและทางสถิติในภูมิภาคหลักๆ ของโลก ซึ่งบ่งชี้ว่าปัจจัยพื้นฐานเหล่านี้มีความเหมือนกันในทุกวัฒนธรรม[28]มีความแตกต่างบางอย่างในแต่ละวัฒนธรรม แต่สิ่งเหล่านี้อาจเป็นผลมาจากการใช้แนวทางคำศัพท์เพื่อศึกษาโครงสร้างบุคลิกภาพ เนื่องจากภาษามีข้อจำกัดในการแปล และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมีคำศัพท์เฉพาะเพื่ออธิบายอารมณ์หรือสถานการณ์[27]ความแตกต่างในแต่ละวัฒนธรรมอาจเกิดจากความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่แท้จริง แต่ยังอาจเป็นผลจากการแปลที่ไม่ดี การสุ่มตัวอย่างที่ลำเอียง หรือความแตกต่างในรูปแบบการตอบในแต่ละวัฒนธรรม[28]การตรวจสอบแบบสอบถามบุคลิกภาพที่พัฒนาขึ้นภายในวัฒนธรรมหนึ่งๆ อาจเป็นหลักฐานที่มีประโยชน์สำหรับความเป็นสากลของลักษณะต่างๆ ในแต่ละวัฒนธรรม เนื่องจากยังคงพบปัจจัยพื้นฐานเดียวกันได้[29]ผลลัพธ์จากการศึกษาในยุโรปและเอเชียหลายครั้งพบว่ามีมิติที่ทับซ้อนกันกับ Five-Factor Model รวมถึงมิติเฉพาะทางวัฒนธรรมเพิ่มเติม[29]การค้นพบปัจจัยที่คล้ายคลึงกันในวัฒนธรรมต่างๆ ช่วยสนับสนุนความเป็นสากลของโครงสร้างลักษณะบุคลิกภาพ แต่จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น[27]

    วัฒนธรรมเป็นปัจจัยสำคัญในการหล่อหลอมบุคลิกภาพของบุคคล นักจิตวิทยาพบว่าบรรทัดฐาน ความเชื่อ และแนวทางปฏิบัติทางวัฒนธรรมหล่อหลอมวิธีที่ผู้คนโต้ตอบและประพฤติตนกับผู้อื่น ซึ่งอาจส่งผลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพได้ (Cheung et al., 2011)

    การศึกษาได้ระบุถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรมในลักษณะบุคลิกภาพ เช่น การแสดงออกอย่างเปิดเผย ความเห็นอกเห็นใจ และความมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งบ่งชี้ว่าวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อการพัฒนาบุคลิกภาพ (Allik & McCrae, 2004) ตัวอย่างเช่น วัฒนธรรมตะวันตกให้คุณค่าความเป็นปัจเจก ความเป็นอิสระ และความกล้าแสดงออก ซึ่งสะท้อนให้เห็นในลักษณะบุคลิกภาพ เช่น การแสดงออกอย่างเปิดเผย ในทางตรงกันข้าม วัฒนธรรมตะวันออกให้คุณค่าความเป็นหมู่คณะ ความร่วมมือ และความสามัคคีในสังคม ซึ่งสะท้อนให้เห็นในลักษณะบุคลิกภาพ เช่น ความเห็นอกเห็นใจ (Cheung et al., 2011)

    การพัฒนาแนวคิดทางประวัติศาสตร์

    แก้ไข

    ความรู้สึกในสมัยใหม่ของบุคลิกภาพส่วนบุคคลเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมที่มีต้นกำเนิดในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ซึ่ง เป็นองค์ประกอบสำคัญในความทันสมัย ​​ในทางตรงกันข้าม ความรู้สึกในตนเอง ของชาวยุโรปในยุคกลาง เชื่อมโยงกับเครือข่ายของบทบาททางสังคม: "ครัวเรือนเครือข่ายเครือญาติสมาคมบริษัท- สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของความเป็นบุคคล" สตีเฟน กรีนแบลตต์สังเกตในการเล่าถึงการฟื้นตัว (1417) และอาชีพของบท กวี De rerum natura ของ ลูเครเชียสว่า "แก่นของบทกวีวางหลักการสำคัญของความเข้าใจโลกสมัยใหม่" [30] "ขึ้นอยู่กับครอบครัว บุคคลเพียงคนเดียวไม่มีอะไรเลย" ฌัก เกลีสสังเกต[31] "ลักษณะเฉพาะของผู้ชายสมัยใหม่มีสองส่วน: ส่วนหนึ่งภายใน อีกส่วนหนึ่งภายนอก ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมของเขา อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับทัศนคติ ค่านิยม และความรู้สึกของเขา" [32]แทนที่จะเชื่อมโยงกับเครือข่ายบทบาททางสังคม มนุษย์ยุคใหม่ได้รับอิทธิพลอย่างมากจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น "การขยายตัวของเมือง การศึกษา การสื่อสารมวลชน การพัฒนาอุตสาหกรรม และการเมือง" [32]

    อารมณ์และปรัชญา

    แก้ไข
    วิลเลียม เจมส์ (1842–1910)

    วิลเลียม เจมส์ (1842–1910) โต้แย้งว่าอารมณ์อธิบายข้อโต้แย้งมากมายในประวัติศาสตร์ปรัชญาโดยโต้แย้งว่าอารมณ์เป็นข้อสันนิษฐานที่มีอิทธิพลมากในข้อโต้แย้งของนักปรัชญา แม้ว่าจะแสวงหาเพียงเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องสำหรับข้อสรุปของพวกเขา เจมส์โต้แย้งว่าอารมณ์ของนักปรัชญามีอิทธิพลต่อปรัชญาของพวกเขา อารมณ์ที่คิดขึ้นดังกล่าวเท่ากับอคติ เจมส์อธิบายว่าอคติดังกล่าวเป็นผลมาจากความไว้วางใจที่นักปรัชญามีต่ออารมณ์ของตนเอง เจมส์คิดว่าความสำคัญของการสังเกตของเขาอยู่ที่ข้อสันนิษฐานที่ว่าในปรัชญา การวัดความสำเร็จเชิงวัตถุคือการพิจารณาว่าปรัชญามีลักษณะเฉพาะของนักปรัชญาหรือไม่ และนักปรัชญาไม่พอใจกับวิธีการมองสิ่งต่างๆ ในรูปแบบอื่นหรือไม่[33]

    การแต่งหน้าทางจิตใจ

    แก้ไข

    เจมส์โต้แย้งว่าอารมณ์อาจเป็นพื้นฐานของการแบ่งแยกในแวดวงวิชาการหลายประการ แต่เน้นที่ปรัชญาในการบรรยายเรื่องปรัชญาปฏิบัติ นิยมในปี 1907 ของเขา ในความเป็นจริง การบรรยายของเจมส์ในปี 1907 ได้สร้างทฤษฎีลักษณะนิสัยของฝ่ายประสบการณ์นิยมและฝ่ายเหตุผลนิยมในปรัชญาขึ้นมา เช่นเดียวกับทฤษฎีลักษณะนิสัยสมัยใหม่ส่วนใหญ่ เจมส์อธิบายลักษณะนิสัยของแต่ละฝ่ายว่าแตกต่างกันและตรงกันข้าม และอาจมีอยู่ในสัดส่วนที่แตกต่างกันในคอนตินิวอัม และด้วยเหตุนี้จึงกำหนดลักษณะบุคลิกภาพของนักปรัชญาในแต่ละฝ่าย "องค์ประกอบทางจิตใจ" (กล่าวคือ บุคลิกภาพ) ของนักปรัชญาฝ่ายเหตุผลนิยมอธิบายว่า "มีจิตใจอ่อนโยน" และ "ยึดถือตาม "หลักการ" ส่วนองค์ประกอบของนักปรัชญาฝ่ายประสบการณ์นิยมอธิบายว่า "มีจิตใจเข้มแข็ง" และ "ยึดถือตาม "ข้อเท็จจริง" เจมส์แยกแยะแต่ละข้อไม่เพียงแค่ในแง่ของข้อเรียกร้องทางปรัชญาที่พวกเขาตั้งไว้ในปี 1907 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการโต้แย้งว่าข้อเรียกร้องดังกล่าวเกิดขึ้นโดยอาศัยอารมณ์เป็นหลัก นอกจากนี้ การแบ่งประเภทดังกล่าวเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญต่อจุดประสงค์ของเจมส์ในการอธิบายปรัชญาเชิงปฏิบัตินิยมของเขาเท่านั้น และไม่ครอบคลุมทั้งหมด[33]

    นักประสบการณ์นิยมและนักเหตุผลนิยม

    แก้ไข
    จอห์น ล็อค (1632–1704)

    ตามคำกล่าวของเจมส์อารมณ์ของ นัก ปรัชญาแนวเหตุผลนิยมแตกต่างไปจากอารมณ์ของ นักปรัชญา แนวประสบการณ์นิยมในสมัยของเขาโดยพื้นฐานแล้ว นักปรัชญาแนวเหตุผลนิยมมักจะชอบความละเอียดอ่อนและผิวเผินซึ่งไม่เคยทำให้อารมณ์ของนักปรัชญาแนวประสบการณ์นิยมพอใจได้ ลัทธิเหตุผลนิยมนำไปสู่การสร้างระบบปิดและความคิดในแง่ดีเช่นนี้ถือเป็นเรื่องตื้นเขินสำหรับจิตใจที่รักข้อเท็จจริง ซึ่งมองว่าความสมบูรณ์แบบนั้นอยู่ไกลเกินเอื้อม[34]ลัทธิเหตุผลนิยมถือเป็นการแสร้งทำเป็นและเป็นอารมณ์ที่มีแนวโน้มไปทางนามธรรมมากที่สุด35 ]

    ในทางกลับกันนักประสบการณ์นิยม ยึดติดอยู่กับความรู้สึกภายนอกมากกว่าตรรกะ คำอธิบายเกี่ยวกับเอกลักษณ์ส่วนบุคคลของนักประสบการณ์นิยมชาวอังกฤษ จอห์น ล็อก (1632–1704) เป็นตัวอย่างของสิ่งที่เจมส์อ้างถึง ล็อกอธิบายเอกลักษณ์ของบุคคลหรือบุคลิกภาพโดยอาศัยคำจำกัดความที่ชัดเจนของเอกลักษณ์ ซึ่งความหมายของเอกลักษณ์จะแตกต่างกันไปตามสิ่งที่นำไปใช้ เอกลักษณ์ของบุคคลนั้นแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเอกลักษณ์ของผู้ชาย ผู้หญิง หรือสารต่างๆ ตามแนวคิดของล็อก ล็อกสรุปว่าจิตสำนึกเป็นบุคลิกภาพเพราะ "มันมาพร้อมกับความคิดเสมอ เป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเป็นสิ่งที่เรียกว่าตัวตน" [36]และคงที่ในสถานที่ต่างๆ ในเวลาต่างๆ

    เบเนดิกตัส สปิโนซา (1632–1677)

    นักเหตุผลนิยมมีแนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ของบุคคลต่างไปจากนักประสบการณ์นิยมอย่างล็อก ซึ่งแยกแยะอัตลักษณ์ของสารัตถะ บุคคล และชีวิต ตามคำกล่าวของล็อกเรอเน เดส์การ์ตส์ (ค.ศ. 1596–1650) เห็นด้วยเพียงแต่เขาไม่ได้โต้แย้งว่าวิญญาณที่ไม่มีวัตถุเป็นพื้นฐานของบุคคล "เพราะกลัวว่าสัตว์เดรัจฉานจะคิดบางอย่างด้วย" [37]ตามคำกล่าวของเจมส์ ล็อกยอมรับข้อโต้แย้งที่ว่าวิญญาณอยู่เบื้องหลังจิตสำนึกของบุคคลใดๆ อย่างไรก็ตามเดวิด ฮูม (ค.ศ. 1711–1776) ผู้สืบทอดตำแหน่งของล็อกและนักจิตวิทยาเชิงประจักษ์หลังจากเขาปฏิเสธเรื่องวิญญาณ ยกเว้นแต่เป็นคำที่ใช้บรรยายความสอดคล้องของชีวิตภายใน[33]อย่างไรก็ตาม งานวิจัยบางส่วนชี้ให้เห็นว่าฮูมไม่รวมอัตลักษณ์ส่วนบุคคลไว้ในผลงานAn Inquiry Concerning Human Understanding ของเขา เพราะเขาคิดว่าข้อโต้แย้งของเขาเพียงพอแล้วแต่ไม่น่าเชื่อถือ[38]เดส์การ์ตส์เองได้แยกแยะความสามารถทางจิตที่กระตือรือร้นและเฉื่อยชา โดยแต่ละอย่างมีส่วนสนับสนุนการคิดและจิตสำนึกในลักษณะที่แตกต่างกัน เดส์การ์ตส์โต้แย้งว่าคณะผู้ถูกกระทำเพียงแค่รับ ในขณะที่คณะผู้กระทำสร้างและสร้างแนวคิด แต่ไม่ได้สันนิษฐานถึงความคิด และดังนั้นจึงไม่สามารถอยู่ในสิ่งที่คิดได้ คณะผู้กระทำไม่ควรอยู่ในตนเองเพราะความคิดเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตระหนักถึงความคิด และบางครั้งความคิดเกิดขึ้นโดยขัดต่อเจตจำนงของตนเอง[39]

    นักปรัชญาแนวเหตุผลนิยมเบเนดิกตัส สปิโนซา (1632–1677) โต้แย้งว่าความคิดเป็นองค์ประกอบแรกที่ประกอบเป็นจิตใจของมนุษย์ แต่มีอยู่เพื่อสิ่งที่มีอยู่จริงเท่านั้น[40]กล่าวอีกนัยหนึ่ง ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ไม่มีความหมายสำหรับสปิโนซา เนื่องจากความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีอยู่ไม่สามารถมีอยู่ได้ นอกจากนี้ แนวคิดเชิงเหตุผลนิยมของสปิโนซายังโต้แย้งว่าจิตใจไม่รู้จักตัวเอง ยกเว้นในขอบเขตที่รับรู้ "ความคิดเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย" ในการอธิบายการรับรู้ภายนอกหรือการรับรู้จากภายนอก ในทางตรงกันข้าม สปิโนซาโต้แย้งว่าการรับรู้เชื่อมโยงความคิดต่างๆ อย่างชัดเจนและแยกไม่ออกจากภายใน[41]จิตใจไม่ใช่สาเหตุอิสระของการกระทำสำหรับสปิโนซา[42]สปิโนซาเปรียบเทียบเจตจำนงกับความเข้าใจ และอธิบายความแตกต่างทั่วไปของสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสองสิ่งที่แตกต่างกันว่าเป็นข้อผิดพลาดที่เกิดจากความเข้าใจผิดของบุคคลเกี่ยวกับธรรมชาติของการคิด[43]

    ชีววิทยา

    แก้ไข

    พื้นฐานทางชีววิทยาของบุคลิกภาพคือทฤษฎีที่ว่าโครงสร้างทางกายวิภาคที่อยู่ในสมองมีส่วนสนับสนุนลักษณะบุคลิกภาพ ซึ่งมาจากจิตวิทยาประสาทซึ่งศึกษาว่าโครงสร้างของสมองเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางจิตวิทยาและพฤติกรรมต่างๆ อย่างไร ตัวอย่างเช่น ในมนุษย์ กลีบหน้าผากมีหน้าที่ในการมองการณ์ไกลและคาดการณ์ล่วงหน้า และกลีบท้ายทอยมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลภาพ นอกจากนี้ หน้าที่ทางสรีรวิทยาบางอย่าง เช่น การหลั่งฮอร์โมน ยังส่งผลต่อบุคลิกภาพอีกด้วย ตัวอย่างเช่น ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนมีความสำคัญต่อการเข้าสังคม อารมณ์ความก้าวร้าวและเรื่องเพศ[25]นอกจากนี้ การศึกษายังแสดงให้เห็นว่าการแสดงออกของลักษณะบุคลิกภาพขึ้นอยู่กับปริมาตรของคอร์เทกซ์ของสมองที่สัมพันธ์ด้วย[44]

    บุคลิกภาพ

    แก้ไข

    บุคลิกภาพวิทยาเป็นแนวทางที่มีมิติหลากหลาย ซับซ้อน และครอบคลุมต่อบุคลิกภาพ ตามที่Henry A. Murray กล่าวไว้ บุคลิกภาพวิทยาคือ:

    จิตวิทยาเป็นสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาชีวิตของมนุษย์และปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อหลักสูตรชีวิตของพวกเขาซึ่งตรวจสอบความแตกต่างของแต่ละบุคคลและประเภทบุคลิกภาพ ... วิทยาศาสตร์ของมนุษย์ซึ่งถือเป็นหน่วยรวม ... ครอบคลุมถึง " จิตวิเคราะห์ " ( ฟรอยด์ ) " จิตวิทยาเชิงวิเคราะห์ " ( ยุง ) " จิตวิทยาบุคคล " ( แอดเลอร์ ) และเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ย่อมาจากวิธีการสอบถามหรือหลักคำสอนมากกว่าขอบเขตของความรู้[45]

    จากมุมมองแบบองค์รวม บุคลิกภาพศึกษาบุคลิกภาพโดยรวมเป็นระบบ แต่ในเวลาเดียวกันก็ศึกษาผ่านองค์ประกอบ ระดับ และขอบเขตทั้งหมดของบุคลิกภาพด้วย[46] [47]

    ดูสิ่งนี้ด้วย

    แก้ไข
    • บุคลิกภาพในสัตว์
    • สมาคมวิจัยบุคลิกภาพซึ่งเป็นองค์กรวิชาการ
    • จิตวิทยาเชิงแยกส่วน
    • ความแปรปรวนของมนุษย์
    • โปรไฟล์ผู้กระทำความผิด
    • Personality and Individual Differencesวารสารวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์เป็นรายสองเดือนโดย Elsevier
    • การคำนวณบุคลิกภาพ
    • วิกฤตบุคลิกภาพ
    • ความผิดปกติของบุคลิกภาพ
    • สิทธิส่วนบุคคลได้แก่ สิทธิในการเปิดเผยตัวตนและความเป็นส่วนตัว
    • ทฤษฎีคุณลักษณะ
    • แบบจำลองบุคลิกภาพสองปัจจัย

      โครงสร้างตัวละครเป็นระบบของลักษณะ รอง ที่แสดงออกมาในลักษณะเฉพาะที่บุคคลมีความสัมพันธ์และตอบสนองต่อผู้อื่น ต่อสิ่งเร้าประเภทต่างๆ และต่อสิ่งแวดล้อมเด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูและ/หรือการศึกษาจนเกิดความขัดแย้งระหว่างความรู้สึกที่ถูกต้อง การใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่ไม่สมเหตุสมผล และการโต้ตอบกับผู้ใหญ่ที่ไม่ใส่ใจผลประโยชน์ระยะยาวของเด็ก จะมีแนวโน้มที่จะสร้างลักษณะรองเหล่านี้มากขึ้น ในลักษณะนี้ เด็กจะปิดกั้นปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ไม่ต้องการซึ่งโดยปกติจะเกิดขึ้น แม้ว่าสิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์ต่อเด็กในสภาพแวดล้อมที่ผิดปกติ แต่ก็อาจทำให้เด็กมีปฏิกิริยาตอบสนองในทางที่ไม่เหมาะสมได้ เช่น การพัฒนาวิธีอื่นที่พลังงานจะปรากฏขึ้นอย่างไม่สามารถควบคุมได้ ซึ่งส่งผลเสียต่อผลประโยชน์ของตนเองเมื่อโต้ตอบกับผู้อื่นในสภาพแวดล้อมที่เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ บาดแผลทางจิตใจร้ายแรงที่เกิดขึ้นในภายหลังในชีวิต แม้กระทั่งในวัยผู้ใหญ่ อาจส่งผลอย่างลึกซึ้งต่อลักษณะนิสัยได้ ดูโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ อย่างไรก็ตาม บุคลิกภาพอาจพัฒนาไปในทางบวกได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าบุคคลนั้นเผชิญกับความท้าทายทางจิตสังคมของวงจรชีวิตได้อย่างไร ( อีริกสัน )

      ทฤษฎี

      แก้ไข

      ฟรอยด์

      แก้ไข

      บทความเรื่องแรกของ ฟรอยด์เกี่ยวกับลักษณะนิสัยของตัวละครนั้นได้อธิบายถึงลักษณะนิสัยของทวารหนักซึ่งประกอบด้วยความดื้อรั้น ความตระหนี่ และความเรียบร้อยสุดขีด เขาเห็นว่านี่เป็นปฏิกิริยาต่อเด็กที่ต้องยอมสละความสุขจากเรื่องเซ็กส์ทางทวารหนัก ลักษณะนิสัยเชิงบวกของตัวละครนี้คือลักษณะที่หมกมุ่นและเอาแต่ใจตัวเอง ฟรอยด์ยังได้อธิบายถึงลักษณะนิสัยของทวารหนักว่าเป็นทั้งคนรักใคร่และพึ่งพาผู้อื่น ส่วน ลักษณะ นิสัยหลงตัวเองนั้นเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ ก้าวร้าว และเป็นอิสระ เนื่องจากไม่ยอมรับตัวตน ที่เข้มแข็งภายใน ตนเอง

      ฟรอมม์

      แก้ไข

      สำหรับErich Frommลักษณะนิสัยจะพัฒนาไปตามวิธีการที่บุคคลสร้างรูปแบบการกลมกลืนและความสัมพันธ์ ลักษณะของตัวละครเกือบจะเหมือนกับของ Freud แต่ Fromm ตั้งชื่อให้ต่างกัน: ยอมรับ กักตุนและเอารัดเอาเปรียบFromm เพิ่มประเภทการตลาดเพื่ออธิบายถึงบุคคลที่ปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อประสบความสำเร็จในเศรษฐกิจบริการใหม่ สำหรับ Fromm ลักษณะนิสัยสามารถสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ก็ได้ Fromm ตั้งข้อสังเกตว่าโครงสร้างลักษณะนิสัยพัฒนาขึ้นในแต่ละบุคคลเพื่อให้บุคคลนั้นสามารถโต้ตอบได้สำเร็จภายในสังคมที่กำหนดและปรับตัวให้เข้ากับรูปแบบการผลิตและบรรทัดฐานทางสังคม (ดูลักษณะนิสัยทางสังคม ) และอาจส่งผลเสียอย่างมากเมื่อใช้ในสังคมอื่น

      ฟรอมม์ได้รับแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างบุคลิกภาพจากเพื่อนร่วมงาน/ลูกศิษย์สองคนของฟรอยด์ ได้แก่ซานดอร์ เฟเรนซีและวิลเฮล์ม ไรช์ไรช์เป็นผู้พัฒนาแนวคิดนี้จากเฟเรนซี และเพิ่มการสำรวจโครงสร้างบุคลิกภาพที่ใช้ได้กับโครงสร้างร่างกายและพัฒนาการ รวมถึงชีวิตจิตใจด้วย

      ไรช์

      แก้ไข

      สำหรับวิลเฮล์ม ไรช์โครงสร้างตัวละครมีพื้นฐานมาจากการปิดกั้น—การหดตัวของกล้ามเนื้ออย่างเรื้อรังโดยไม่รู้ตัว—ซึ่งขัดขวางการรับรู้ความรู้สึก การปิดกั้นดังกล่าวเกิดจากบาดแผลทางจิตใจ เด็กเรียนรู้ที่จะจำกัดการรับรู้ความรู้สึกที่รุนแรงของตน เนื่องจากความต้องการของพวกเขาถูกขัดขวางโดยพ่อแม่ที่ตอบสนองเสียงร้องขอการเติมเต็มด้วยการละเลยหรือการลงโทษ ไรช์เสนอโครงสร้างตัวละครพื้นฐาน 5 แบบ ซึ่งแต่ละแบบมีประเภทร่างกายของตัวเองที่พัฒนาขึ้นจากอุปสรรคเฉพาะที่เกิดขึ้นเนื่องจากความต้องการเฉพาะช่วงวัยของเด็กที่ขาดแคลนหรือหงุดหงิด:

      1. โครงสร้างแบบแยกตัวซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคจิตเภท ขั้นรุนแรง เป็นผลมาจากการที่พ่อแม่ที่ไม่เป็นมิตรไม่รู้สึกต้องการแม้แต่ในครรภ์ โครงสร้างนี้ทำให้ทั้งร่างกายและจิตใจแตกสลาย
      2. โครงสร้างช่องปากเป็นการปรับตัวเพื่อรับมือกับบาดแผลในช่วงแรกของการขาดสารอาหารที่จำเป็นตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุประมาณ 18 เดือน โครงสร้างช่องปากในวัยผู้ใหญ่บางครั้งจะมีทัศนคติว่า "คุณทำเพื่อฉัน" ซึ่งเป็นปฏิกิริยาตอบสนองเมื่อไม่ได้รับการเลี้ยงดูเมื่อยังเด็ก ในบางครั้งการป้องกันตนเองจะเป็นการชดเชยโดยบุคคลนั้นปฏิเสธความต้องการของตนเองโดยเชื่อว่าความต้องการจะส่งผลให้ถูกละทิ้ง บุคคลนั้นสูญเสียความสามารถในการยืนกรานตามธรรมชาติที่ดีต่อสุขภาพและความก้าวร้าว และพลังงานมักจะลดลงและรักษาไว้ได้ยาก ร่างกายจะอยู่ในท่าทางที่ไหล่มักจะงอ ซึ่งจะทำให้หน้าอกหดตัวและจำกัดการหายใจและด้วยเหตุนี้จึงจำกัดปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับ ศีรษะยื่นไปข้างหน้า ท่าทางนี้จำกัดการไหลของพลังงานไปยังแขน ซึ่งจะทำให้รู้สึกอ่อนแรง โครงสร้างช่องปากจะป้องกันการรับ และยืนยันความเชื่อที่ว่าจะไม่สามารถทำให้ความต้องการของตัวเองได้รับการตอบสนอง ซึ่งจะกลายเป็นคำทำนายที่เป็นจริงได้ เว้นแต่จะสามารถท้าทายการป้องกันได้ทั้งทางจิตใจและร่างกาย และบุคคลนั้นจะสามารถระดมพลังของตน ยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง และเป็นเจ้าของสิทธิที่จะต้องการและรับ
      3. โครงสร้างทางจิตเวชหรือโครงสร้างที่เคลื่อนตัวขึ้นข้างบน: บาดแผลนี้เกิดขึ้นเมื่ออายุประมาณ 3 ขวบ โดยเกิดจากพ่อแม่ที่คอยบงการและล่วงละเมิดทางอารมณ์เด็กด้วยการล่อลวงให้เด็กรู้สึก "พิเศษ" สำหรับความต้องการแบบหลงตัวเองของพ่อแม่ เด็กจะตั้งใจว่าจะไม่ยอมให้ตัวเองอ่อนแออีกต่อไป และตัดสินใจที่จะบงการและข่มเหงผู้อื่นด้วยเจตจำนงของตนเองแทน ร่างกายส่วนบนพัฒนาอย่างดี ส่วนล่างอ่อนแอ ในขณะที่ผู้ป่วยโรคจิตถอยห่างจากพื้นและพยายามข่มเหงจากด้านบน โครงสร้างนี้มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับการผสมผสานกับบาดแผลก่อนหน้า: บาดแผลที่ครอบงำคือบาดแผลบริสุทธิ์ บาดแผลที่ยอมจำนนคือบาดแผลที่ผสมด้วยปาก บาดแผลที่ถอนตัว คือบาดแผลที่แยกตัว
      4. โครงสร้างมาโซคิสต์ : บาดแผลนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้ปกครองไม่ยอมให้ลูกพูดว่า "ไม่" ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการกำหนดขอบเขตเด็กจะแสวงหาการบรรเทาความโกรธที่สะสมอยู่ภายใต้กล้ามเนื้อและไขมันที่จำกัด โดยกระตุ้นให้ผู้อื่นลงโทษ
      5. ความแข็งกร้าว: บาดแผลนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงวัยแรกรุ่น คือ อายุ 4 ขวบ พ่อแม่ไม่ยอมรับเรื่องเพศของเด็ก แต่กลับถูกทำให้อับอายหรือปฏิเสธ โครงสร้างนี้พยายามพิสูจน์ให้พ่อแม่และคนอื่นๆ เห็นว่าเด็กคู่ควรกับความรัก โครงสร้างที่เข้มงวดมักจะกลมกลืนกันอย่างสวยงาม แต่มีการแยกทางกายภาพระหว่างหัวใจและอุ้งเชิงกราน: ความรักและเซ็กส์บุคคลนี้มีปัญหาในการรับรู้ถึงอารมณ์ของตนเอง ซึ่งแข็งแกร่งแต่ถูกฝังไว้ โครงสร้างที่เข้มงวดมีโครงสร้างย่อยมากมาย ขึ้นอยู่กับลักษณะเฉพาะของบาดแผล การผสมผสานกับโครงสร้างอื่นๆ ที่แข็งตัวก่อน (อีดิปัส) และเพศในผู้หญิง โครงสร้างแบบก้าวร้าวแบบผู้ชาย ฮิสทีเรีย และแบบสลับกัน ในผู้ชาย โครงสร้างแบบหลงตัวเองแบบองคชาต ความกดดัน และแบบผู้หญิงเฉื่อยชา

      แม้ว่าโครงสร้างแต่ละอันจะมีบล็อก และบล็อกเหล่านี้ก็มีลักษณะคล้ายกับ "เกราะ" ในระดับหนึ่ง แต่มีเพียงโครงสร้างแบบแข็งเท่านั้นที่มีสิ่งที่ไรช์เรียกว่า "เกราะตัวละคร" ซึ่งเป็นระบบบล็อกทั่วทั้งร่างกาย ตัวละครแบบแข็งจะมีเกราะตัวละครแบบ "แผ่น" (กล่าวคือ แข็ง) หรือแบบ "ตาข่าย" (ยืดหยุ่นกว่ามาก) ขึ้นอยู่กับว่าแบบแข็งนั้นเป็นแบบใด

      ดูสิ่งนี้ด้วย

      แก้ไข
      • การสำรวจอุปนิสัยและลักษณะนิสัย

        ในความหมายทั่วไป คำว่าความคิดและการคิดหมายถึง กระบวนการ ทางปัญญาที่สามารถเกิดขึ้นได้โดยไม่ขึ้นกับการกระตุ้นทางประสาทสัมผัสรูปแบบที่เป็นแบบอย่างมากที่สุด ได้แก่การตัดสินการใช้เหตุผลการสร้างแนวคิดการแก้ปัญหาและการไตร่ตรองแต่กระบวนการทางจิตอื่นๆ เช่น การพิจารณาความคิดความทรงจำหรือจินตนาการก็มักจะรวมอยู่ด้วย กระบวนการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นภายในได้โดยไม่ขึ้นกับอวัยวะรับความรู้สึกซึ่งแตกต่างจากการรับรู้ แต่เมื่อเข้าใจในความหมายที่กว้างที่สุดเหตุการณ์ทางจิต ใดๆ ก็สามารถเข้าใจได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการคิด ซึ่งรวมถึงการรับรู้และกระบวนการทางจิตที่ไร้สติ ในความหมายที่แตกต่างกันเล็กน้อย คำว่าความคิดไม่ได้หมายถึงกระบวนการทางจิตโดยตรง แต่หมายถึงสภาวะทางจิตหรือระบบความคิดที่เกิดจากกระบวนการเหล่านี้

        The Thinkerโดย Rodin (1840–1917) ในสวนของ Musée Rodin

        ทฤษฎีการคิดต่างๆ ได้รับการเสนอขึ้น โดยบางทฤษฎีมีจุดมุ่งหมายเพื่อจับภาพลักษณะเฉพาะของความคิดผู้ที่ยึดถือลัทธิเพลโตเชื่อว่าการคิดประกอบด้วยการแยกแยะและตรวจสอบรูปแบบของเพลโตและความสัมพันธ์ของรูปแบบเหล่านั้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับความสามารถในการแยกแยะระหว่างรูปแบบของเพลโตที่บริสุทธิ์กับรูปแบบเลียนแบบที่พบใน โลก แห่ง ประสาทสัมผัส ตามแนวคิด ของอริสโตเติลการคิดเกี่ยวกับบางสิ่งคือการสร้างตัวอย่างแก่นสาร สากล ของวัตถุแห่งความคิดในจิตใจของตนเอง สิ่งสากลเหล่านี้ถูกแยกออกจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสและไม่เข้าใจว่ามีอยู่จริงในโลกที่เข้าใจได้ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งตรงกันข้ามกับแนวคิดของลัทธิเพลโตแนวคิดมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดของอริสโตเติล โดยระบุการคิดด้วยแนวคิดที่กระตุ้นความคิดแทนที่จะสร้างตัวอย่างแก่นสารทฤษฎีการพูดภายในอ้างว่าการคิดเป็นรูปแบบหนึ่งของการพูดภายในซึ่งคำพูดถูกแสดงออกมาอย่างเงียบๆ ในใจของผู้คิด ตามบันทึกบางฉบับ สิ่งนี้เกิดขึ้นในภาษาปกติ เช่น อังกฤษหรือฝรั่งเศสในทางกลับกัน สมมติฐานภาษาแห่งความคิดถือว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นในสื่อของภาษาจิตเฉพาะที่เรียกว่าMentalese แนวคิดนี้เป็นศูนย์กลางของแนวคิดนี้ว่าระบบการแสดงแทนทางภาษาถูกสร้างขึ้นจากการแสดงแทนแบบอะตอมและแบบผสม และโครงสร้างนี้ยังพบได้ในความคิดด้วยผู้ที่ยึดหลักการเชื่อมโยงเข้าใจว่าการคิดคือลำดับของความคิดหรือภาพ พวกเขาสนใจเป็นพิเศษในกฎของการเชื่อมโยงที่ควบคุมว่ากระบวนการคิดจะคลี่คลาย อย่างไร ในทางตรงกันข้าม ผู้ยึด หลัก พฤติกรรมระบุการคิดด้วยแนวโน้มทางพฤติกรรมที่จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมอัจฉริยะในที่สาธารณะเป็นปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้า ภายนอกบาง อย่าง ทฤษฎี การคำนวณเป็นทฤษฎีล่าสุดในกลุ่มนี้ ทฤษฎีนี้มองว่าการคิดนั้นคล้ายคลึงกับการทำงานของคอมพิวเตอร์ในแง่ของการจัดเก็บ การส่ง และการประมวลผลข้อมูล

        วรรณกรรมทางวิชาการมีการกล่าวถึงการคิดประเภทต่างๆการตัดสินคือการดำเนินการทางจิตที่ซึ่งข้อเสนอถูกเรียกขึ้นมาแล้วยืนยันหรือปฏิเสธในทางกลับกันการใช้เหตุผล คือกระบวนการดึงข้อสรุปจากสมมติฐานหรือหลักฐาน ทั้งการตัดสินและการใช้เหตุผลขึ้นอยู่กับการครอบครองแนวคิดที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้รับในกระบวนการ สร้างแนวคิดในกรณีของการแก้ปัญหาการคิดมุ่งเป้าไปที่การบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยเอาชนะอุปสรรคบางประการการไตร่ตรองเป็นรูปแบบสำคัญของการคิดในทางปฏิบัติซึ่งประกอบด้วยการกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปได้และประเมินเหตุผลสำหรับและต่อต้านแนวทางปฏิบัติดังกล่าว ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจโดยเลือกตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุด ทั้งความจำตามเหตุการณ์และจินตนาการนำเสนอวัตถุและสถานการณ์ภายใน เพื่อพยายามจำลองสิ่งที่เคยประสบมาก่อนหน้านี้ได้อย่างถูกต้องหรือเป็นการจัดเรียงใหม่โดยอิสระ ตามลำดับ ความคิดที่ไม่รู้ตัวคือความคิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้ประสบมาโดยตรง บางครั้งมีการตั้งสมมติฐานเพื่ออธิบายว่าปัญหาที่ยากจะแก้ไข ได้อย่างไร ในกรณีที่ไม่มีการใช้ความคิดอย่างมีสติ

        ความคิดถูกกล่าวถึงในสาขาวิชาต่างๆปรากฏการณ์วิทยามีความสนใจในประสบการณ์ของการคิด คำถามที่สำคัญในสาขานี้เกี่ยวข้องกับลักษณะของประสบการณ์ของการคิดและในระดับที่สามารถอธิบายลักษณะนี้ได้ในแง่ของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสอภิปรัชญามีความสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและสสารซึ่งเกี่ยวข้องกับคำถามว่าความคิดสามารถเข้ากับโลกแห่งวัตถุตามที่วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ อธิบายไว้ได้ อย่างไรจิตวิทยาการรู้คิดมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำความเข้าใจความคิดในฐานะรูปแบบหนึ่งของการประมวลผลข้อมูลในทางกลับกันจิตวิทยาการพัฒนา จะตรวจสอบการพัฒนาของความคิดตั้งแต่เกิดจนโตและถามว่าการพัฒนานี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยใด จิตวิเคราะห์เน้นบทบาทของจิตไร้สำนึกในชีวิตจิตใจ สาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความคิด ได้แก่ภาษาศาสตร์ประสาทวิทยาปัญญาประดิษฐ์ชีววิทยาและสังคมวิทยาแนวคิดและทฤษฎีต่างๆ มีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับหัวข้อของความคิด คำว่ากฎแห่งความคิด " หมายถึงกฎพื้นฐานของตรรกะสาม ข้อได้แก่ กฎแห่งความขัดแย้ง กฎแห่งการกีดกันกลาง และหลักการแห่งอัตลักษณ์การคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับการแสดงภาพทางจิตของสถานการณ์และเหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริง ซึ่งผู้คิดพยายามประเมินว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากสิ่งต่าง ๆ แตกต่างออกไปการทดลองทางความคิดมักใช้การคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงเพื่ออธิบายทฤษฎีหรือทดสอบความน่าจะเป็นของทฤษฎีเหล่านั้นการคิดเชิงวิพากษ์เป็นรูปแบบของการคิดที่สมเหตุสมผล ไตร่ตรอง และมุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรหรือจะกระทำอย่างไรการ คิดเชิงบวกเกี่ยวข้องกับการมุ่งความสนใจไปที่แง่บวกของสถานการณ์ของตนเอง และมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ การมองโลกใน แง่ดี

        คำนิยาม

        แก้ไข

        คำว่า "ความคิด" และ "การคิด" หมายถึงกิจกรรมทางจิตวิทยาที่หลากหลาย[1] [2] [3]ในความหมายทั่วไปที่สุด คำว่า "ความคิด" และ "การคิด" หมายความถึงกิจกรรมทางจิตวิทยาที่หลากหลาย [4] [5]ซึ่งรวมถึงกระบวนการทางจิตต่างๆ เช่น การพิจารณาแนวคิดหรือข้อเสนอ หรือตัดสินว่าเป็นจริง ในแง่นี้ ความทรงจำและจินตนาการเป็นรูปแบบของความคิด แต่การรับรู้ไม่ใช่[6]ในความหมายที่จำกัดกว่านี้ มีเพียงกรณีที่เป็นบรรทัดฐานที่สุดเท่านั้นที่ถือเป็นความคิด ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางจิตที่เป็นแนวคิดหรือภาษาศาสตร์และเป็นนามธรรมเพียงพอ เช่น การตัดสิน การอนุมาน การแก้ปัญหา และการไตร่ตรอง[1] [7] [8]บางครั้ง คำว่า "ความคิด" และ "การคิด" หมายความถึงกระบวนการทางจิตในรูปแบบใดๆ ก็ได้ ทั้งแบบมีสติหรือไร้สติ[9] [10]ในความหมายนี้ อาจใช้คำเหล่านี้แทนคำว่า "จิตใจ" ได้ การใช้งานนี้พบเห็นตัวอย่างเช่นในประเพณีของเดส์การ์ตส์ซึ่งจิตใจถูกเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่คิดและใน วิทยาศาสตร์ การรับรู้[6] [11] [12] [13]แต่ความหมายนี้อาจรวมถึงข้อจำกัดที่กระบวนการดังกล่าวต้องนำไปสู่พฤติกรรมอัจฉริยะจึงจะถือว่าเป็นความคิด[14]ความแตกต่างที่พบได้ในวรรณกรรมทางวิชาการบางครั้งคือระหว่างการคิดและการรู้สึกในบริบทนี้ การคิดมีความเกี่ยวข้องกับแนวทางที่รอบคอบ ปราศจากอคติ และมีเหตุผล ต่อหัวข้อของมันในขณะที่ความรู้สึกเกี่ยวข้องกับ การมีส่วนร่วมทางอารมณ์โดยตรง[15] [16] [17]

        คำว่า "ความคิด" และ "การคิด" ยังสามารถใช้เพื่ออ้างถึงไม่ใช่กระบวนการทางจิตโดยตรง แต่หมายถึงสภาวะทางจิตหรือระบบความคิดที่เกิดจากกระบวนการเหล่านี้[18]ในความหมายนี้ มักเป็นคำพ้องความหมายกับคำว่า "ความเชื่อ" และคำที่เกี่ยวข้อง และอาจหมายถึงสภาวะทางจิตที่เป็นของแต่ละบุคคลหรือเป็นเรื่องธรรมดาในกลุ่มคนบางกลุ่ม[19] [20]การอภิปรายเกี่ยวกับความคิดในวรรณกรรมทางวิชาการมักทิ้งความหมายโดยปริยายว่าคำเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร

        คำว่าthoughtมาจากภาษาอังกฤษโบราณ ว่า þohtหรือgeþohtซึ่งมาจากรากศัพท์ของคำว่าþencanที่แปลว่า "นึกถึงในใจ พิจารณา" [21]

        ทฤษฎีแห่งการคิด

        แก้ไข

        ทฤษฎีการคิดต่างๆ ได้รับการเสนอขึ้น[22]ทฤษฎีเหล่านี้มุ่งหวังที่จะจับลักษณะเฉพาะของการคิด ทฤษฎีต่างๆ ที่ระบุไว้ที่นี่ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงทฤษฎีเดียว แต่อาจสามารถรวมทฤษฎีบางส่วนเข้าด้วยกันได้โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง

        ลัทธิเพลโตนิยม

        แก้ไข

        ตามแนวคิดเพลโตการคิดเป็นกิจกรรมทางจิตวิญญาณที่รูปแบบเพลโตและความสัมพันธ์ระหว่างกันจะถูกมองเห็นและตรวจสอบ[22] [23]กิจกรรมนี้เข้าใจว่าเป็นรูปแบบของการพูดภายในแบบเงียบๆ ซึ่งวิญญาณจะพูดกับตัวเอง[24]รูปแบบเพลโตถูกมองว่าเป็นสากลที่มีอยู่ในอาณาจักรที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งแตกต่างจากโลกแห่งประสาทสัมผัส ตัวอย่างเช่น รูปแบบของความดี ความงาม ความสามัคคี และความเหมือนกัน[25] [26] [27]จากมุมมองนี้ ความยากลำบากในการคิดประกอบด้วยการไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเพลโตและแยกแยะว่าเป็นรูปแบบดั้งเดิมจากการเลียนแบบที่พบในโลกแห่งประสาทสัมผัส นั่นหมายถึงการแยกแยะความงามจากภาพลอกเลียนแบบของความงาม ตัวอย่างเช่น[23]ปัญหาอย่างหนึ่งของมุมมองนี้คือการอธิบายว่ามนุษย์สามารถเรียนรู้และคิดเกี่ยวกับรูปแบบเพลโตที่อยู่ในอาณาจักรอื่นได้อย่างไร[22]เพลโตเองก็พยายามแก้ปัญหานี้โดยใช้ทฤษฎีการระลึกของเขา ซึ่งตามทฤษฎีนี้ วิญญาณเคยสัมผัสกับรูปแบบเพลโตมาก่อนแล้ว จึงสามารถจำได้ว่ารูปแบบเหล่านั้นเป็นอย่างไร[23]แต่คำอธิบายนี้ขึ้นอยู่กับสมมติฐานต่างๆ ที่โดยปกติแล้วไม่ได้รับการยอมรับในความคิดร่วมสมัย[23]

        ลัทธิอริสโตเติลและแนวคิดนิยม

        แก้ไข

        พวกอริสโตเติลยึดมั่นว่าจิตใจสามารถคิดเกี่ยวกับบางสิ่งบางอย่างได้โดยการสร้างตัวอย่างสาระสำคัญของวัตถุแห่งความคิด[22]ดังนั้น ในขณะที่คิดเกี่ยวกับต้นไม้ จิตใจจะสร้างตัวอย่างความเป็นต้นไม้ การสร้างตัวอย่างนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในสสาร เช่นเดียวกับในกรณีของต้นไม้จริง แต่เกิดขึ้นในจิตใจ แม้ว่าสาระสำคัญสากลที่เกิดขึ้นในทั้งสองกรณีจะเหมือนกัน[22]ตรงกันข้ามกับลัทธิเพลโต สิ่งสากลเหล่านี้ไม่ถูกเข้าใจว่าเป็นรูปแบบของเพลโตที่มีอยู่ในโลกที่เข้าใจได้และไม่เปลี่ยนแปลง[28]ในทางกลับกัน สิ่งสากลเหล่านี้มีอยู่เพียงเท่าที่พวกมันถูกสร้างขึ้น จิตใจเรียนรู้ที่จะแยกแยะสิ่งสากลผ่านการแยกส่วนจากประสบการณ์[29]คำอธิบายนี้หลีกเลี่ยงข้อโต้แย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับลัทธิเพลโต[28]

        แนวคิดนิยมมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดของอริสโตเติล ซึ่งระบุว่าการคิดประกอบด้วยการกระตุ้นแนวคิดทางจิตใจ แนวคิดบางอย่างอาจมีมาแต่กำเนิด แต่ส่วนใหญ่ต้องเรียนรู้ผ่านการนามธรรมจากประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสก่อนจึงจะนำไปใช้ในการคิดได้[22]

        มีการโต้แย้งต่อมุมมองเหล่านี้ว่ามุมมองเหล่านี้มีปัญหาในการอธิบายรูปแบบตรรกะของความคิด ตัวอย่างเช่น การคิดว่าฝนจะตกหรือหิมะตก ไม่เพียงพอที่จะสร้างตัวอย่างสาระสำคัญของฝนและหิมะ หรือสร้างแนวคิดที่สอดคล้องกันขึ้นมา เหตุผลก็คือ ความสัมพันธ์ที่ไม่ต่อเนื่องระหว่างฝนและหิมะไม่ได้ถูกถ่ายทอดออกมาในลักษณะนี้[22]ปัญหาอีกประการหนึ่งที่มุมมองเหล่านี้มีร่วมกันคือความยากลำบากในการให้คำอธิบายที่น่าพอใจว่าจิตใจเรียนรู้สาระสำคัญหรือแนวคิดได้อย่างไรผ่านการทำนามธรรม[22]

        ทฤษฎีการพูดภายใน

        แก้ไข

        ทฤษฎีการพูดภายในอ้างว่าการคิดเป็นรูปแบบหนึ่งของการพูดภายใน [ 6] [30] [24] [1]บางครั้งมุมมองนี้เรียกว่านามนิยมทางจิตวิทยา[22]ระบุว่าการคิดเกี่ยวข้องกับการเรียกคำขึ้นมาอย่างเงียบๆ และเชื่อมโยงคำเหล่านั้นเพื่อสร้างประโยคในใจ ความรู้ที่บุคคลมีเกี่ยวกับความคิดของตนสามารถอธิบายได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการได้ยินคำพูดที่เงียบงันของตนเอง[31]มักมีการกำหนดลักษณะสำคัญสามประการให้กับการพูดภายใน: ในแง่ที่สำคัญคล้ายกับการได้ยินเสียง เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา และประกอบด้วยแผนการเคลื่อนไหวที่สามารถใช้สำหรับการพูดจริง[24]การเชื่อมต่อกับภาษานี้ได้รับการสนับสนุนจากข้อเท็จจริงที่ว่าการคิดมักมาพร้อมกับกิจกรรมของกล้ามเนื้อในอวัยวะการพูด กิจกรรมนี้อาจอำนวยความสะดวกในการคิดในบางกรณี แต่ไม่จำเป็นสำหรับมันโดยทั่วไป[1]ตามรายงานบางกรณี การคิดไม่เกิดขึ้นในภาษาปกติ เช่น ภาษาอังกฤษหรือภาษาฝรั่งเศส แต่มีภาษาประเภทของตัวเองพร้อมสัญลักษณ์และรูปแบบที่สอดคล้องกัน ทฤษฎีนี้เรียกว่าสมมติฐานภาษาแห่งความคิด[30] [32]

        ทฤษฎีการพูดภายในมีความน่าเชื่อถือในเบื้องต้น เนื่องจากการสำรวจตนเองชี้ให้เห็นว่าความคิดหลายอย่างมักมาพร้อมกับการพูดภายใน แต่ฝ่ายต่อต้านมักโต้แย้งว่าสิ่งนี้ไม่เป็นความจริงสำหรับความคิดทุกประเภท[22] [5] [33]ตัวอย่างเช่น มีการโต้แย้งว่ารูปแบบของการเพ้อฝันเป็นความคิดที่ไม่เกี่ยวกับภาษา[34]ประเด็นนี้มีความเกี่ยวข้องกับคำถามว่าสัตว์มีความสามารถในการคิดหรือไม่ หากความคิดมีความเกี่ยวข้องกับภาษาโดยจำเป็น นั่นอาจบ่งบอกว่ามีช่องว่างสำคัญระหว่างมนุษย์กับสัตว์ เนื่องจากมนุษย์เท่านั้นที่มีภาษาที่ซับซ้อนเพียงพอ แต่การมีอยู่ของความคิดที่ไม่เกี่ยวกับภาษาบ่งบอกว่าช่องว่างนี้อาจไม่ใหญ่มากนัก และสัตว์บางชนิดก็คิดได้จริง[33] [35] [36]

        ภาษาแห่งสมมติฐานทางความคิด

        แก้ไข

        มีทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและความคิด ทฤษฎีหนึ่งที่โดดเด่นในปรัชญาสมัยใหม่เรียกว่าสมมติฐานภาษาแห่งความคิด [ 30] [32] [37] [38] [39]ระบุว่าการคิดเกิดขึ้นในสื่อของภาษาจิต ภาษานี้มักเรียกว่าMentaleseซึ่งคล้ายกับภาษาทั่วไปในหลายๆ ด้าน: ประกอบด้วยคำที่เชื่อมโยงกันในรูปแบบทางวากยสัมพันธ์เพื่อสร้างประโยค[30] [32] [37] [38]ข้อเรียกร้องนี้ไม่ได้อาศัยเพียงการเปรียบเทียบโดยสัญชาตญาณระหว่างภาษาและความคิดเท่านั้น แต่ยังให้คำจำกัดความที่ชัดเจนของคุณลักษณะที่ระบบการแสดงต้องมีเพื่อให้มีโครงสร้างทางภาษา[37] [32] [38]ในระดับของวากยสัมพันธ์ ระบบการแสดงจะต้องมีการแสดงสองประเภท: การแสดงแบบอะตอมและแบบผสม การแสดงแบบอะตอมเป็นพื้นฐานในขณะที่การแสดงแบบผสมถูกสร้างขึ้นโดยการแสดงแบบผสมอื่นๆ หรือโดยการแสดงแบบอะตอม[37] [32] [38]ในระดับของความหมาย เนื้อหาความหมายหรือความหมายของการแสดงประกอบควรขึ้นอยู่กับเนื้อหาความหมายขององค์ประกอบ ระบบการแสดงจะมีโครงสร้างทางภาษาศาสตร์หากระบบนั้นตอบสนองข้อกำหนดสองข้อนี้[37] [32] [38]

        สมมติฐานภาษาแห่งความคิดระบุว่าสิ่งเดียวกันนี้ใช้ได้กับการคิดโดยทั่วไป ซึ่งหมายความว่าความคิดประกอบด้วยองค์ประกอบการแสดงแบบอะตอมบางส่วนที่สามารถรวมกันได้ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น[37] [32] [40]นอกเหนือจากลักษณะเฉพาะที่เป็นนามธรรมนี้แล้ว ไม่มีการอ้างสิทธิ์ที่เป็นรูปธรรมเพิ่มเติมอีกว่าสมองนำความคิดของมนุษย์ไปใช้อย่างไรหรือมีความคล้ายคลึงกับภาษาธรรมชาติอื่นๆ อย่างไร[37]สมมติฐานภาษาแห่งความคิดได้รับการแนะนำครั้งแรกโดยJerry Fodor [ 32] [37]เขาโต้แย้งในความโปรดปรานของข้อเรียกร้องนี้โดยยึดมั่นว่ามันเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดของลักษณะเฉพาะของการคิด หนึ่งในลักษณะเหล่านี้คือผลผลิต : ระบบการแสดงจะผลิตได้หากสามารถสร้างการแสดงที่ไม่ซ้ำกันจำนวนอนันต์โดยอิงจากการแสดงแบบอะตอมจำนวนน้อย[37] [32] [40]สิ่งนี้ใช้กับความคิดได้เนื่องจากมนุษย์สามารถคิดความคิดที่แตกต่างกันจำนวนอนันต์ได้แม้ว่าความสามารถทางจิตของพวกเขาจะจำกัดมากก็ตาม ลักษณะเฉพาะอื่นๆ ของการคิดรวมถึงความเป็นระบบและความสอดคล้องเชิงอนุมาน[32] [37] [40]โฟดอร์โต้แย้งว่าสมมติฐานภาษาแห่งความคิดเป็นความจริง เนื่องจากอธิบายได้ว่าความคิดสามารถมีคุณลักษณะเหล่านี้ได้อย่างไร และเนื่องจากไม่มีคำอธิบายอื่นที่ดี[37]ข้อโต้แย้งบางประการต่อสมมติฐานภาษาแห่งความคิดนั้นอิงจากเครือข่ายประสาท ซึ่งสามารถสร้างพฤติกรรมอัจฉริยะได้โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบการแสดงภาพ ข้อโต้แย้งอื่นๆ มุ่งเน้นไปที่แนวคิดที่ว่าการแสดงภาพทางจิตบางอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ใช่ภาษา เช่น ในรูปแบบของแผนที่หรือภาพ[37] [32]

        นักคำนวณให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสมมติฐานภาษาแห่งความคิด เนื่องจากสมมติฐานนี้ให้แนวทางในการปิดช่องว่างระหว่างความคิดในสมองของมนุษย์และกระบวนการคำนวณที่ดำเนินการโดยคอมพิวเตอร์[37] [32] [41]เหตุผลก็คือ กระบวนการเหนือการแสดงที่เคารพไวยากรณ์และความหมาย เช่นการอนุมานตามmodus ponensสามารถดำเนินการได้โดยระบบทางกายภาพโดยใช้ความสัมพันธ์เชิงเหตุผล ระบบภาษาเดียวกันอาจดำเนินการได้ผ่านระบบทางวัตถุที่แตกต่างกัน เช่น สมองหรือคอมพิวเตอร์ ด้วยวิธีนี้ คอมพิวเตอร์จึงสามารถคิดได้ [ 37] [32]

        การรวมกลุ่ม

        แก้ไข

        มุมมองที่สำคัญในประเพณีประสบการณ์นิยมคือการเชื่อมโยงซึ่งเป็นมุมมองที่ว่าการคิดประกอบด้วยลำดับของความคิดหรือภาพ[1] [42] [43]ลำดับนี้ถือว่าถูกควบคุมโดยกฎแห่งการเชื่อมโยง ซึ่งกำหนดว่ากระแสความคิดจะคลี่คลายอย่างไร[1] [44]กฎเหล่านี้แตกต่างจากความสัมพันธ์เชิงตรรกะระหว่างเนื้อหาของความคิด ซึ่งพบได้ในกรณีของการสรุปผลโดยการย้ายจากความคิดของสถานที่ตั้งไปยังความคิดของข้อสรุป[44]มีการแนะนำกฎแห่งการเชื่อมโยงต่างๆ ตามกฎแห่งความคล้ายคลึงและความแตกต่าง ความคิดมักจะกระตุ้นความคิดอื่นๆ ที่คล้ายกันมากหรือตรงกันข้าม กฎแห่งความอยู่ติดกัน ในทางกลับกัน ระบุว่า หากประสบกับความคิดสองความคิดร่วมกันบ่อยครั้ง ประสบการณ์ของความคิดหนึ่งก็มักจะก่อให้เกิดประสบการณ์ของอีกความคิดหนึ่ง[1] [42]ในแง่นี้ ประวัติของประสบการณ์ของสิ่งมีชีวิตจะกำหนดว่าสิ่งมีชีวิตมีความคิดใดและความคิดเหล่านี้คลี่คลายอย่างไร[44]แต่การเชื่อมโยงดังกล่าวไม่ได้รับประกันว่าการเชื่อมโยงนั้นมีความหมายหรือมีเหตุผล ตัวอย่างเช่น เนื่องจากการเชื่อมโยงระหว่างคำว่า "เย็น" และ "ไอดาโฮ" ความคิดที่ว่า "ร้านกาแฟแห่งนี้เย็น" อาจนำไปสู่ความคิดที่ว่า "รัสเซียควรผนวกไอดาโฮ" [44]

        รูปแบบหนึ่งของการเชื่อมโยงคือจินตภาพ ซึ่งระบุว่าการคิดเกี่ยวข้องกับการสร้างลำดับภาพ โดยที่ภาพก่อนหน้าจะเสกภาพในภายหลังขึ้นมาโดยอาศัยกฎของการเชื่อมโยง[22]ปัญหาอย่างหนึ่งของมุมมองนี้ก็คือ เราสามารถคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เราไม่สามารถจินตนาการได้ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะเมื่อความคิดเกี่ยวข้องกับวัตถุที่ซับซ้อนมากหรืออนันต์ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เช่น ในความคิดทางคณิตศาสตร์[22]คำวิจารณ์ประการหนึ่งที่มุ่งเป้าไปที่การเชื่อมโยงโดยทั่วไปก็คือ การอ้างสิทธิ์ของการเชื่อมโยงนั้นมีความครอบคลุมมากเกินไป มีความเห็นพ้องกันอย่างกว้างขวางว่ากระบวนการเชื่อมโยงตามที่นักเชื่อมโยงศึกษามีบทบาทบางอย่างในวิธีการคลี่คลายความคิด แต่การอ้างสิทธิ์ที่ว่ากลไกนี้เพียงพอที่จะเข้าใจความคิดทั้งหมดหรือกระบวนการทางจิตทั้งหมดนั้นมักไม่ได้รับการยอมรับ[43] [44]

        พฤติกรรมนิยม

        แก้ไข

        ตามแนวคิดพฤติกรรมนิยมการคิดประกอบด้วยแนวโน้มพฤติกรรมที่จะมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่สังเกตได้ต่อสาธารณะบางอย่างเป็นปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าภายนอกที่เฉพาะเจาะจง[45] [46] [47]ในมุมมองนี้ การมีความคิดเฉพาะเจาะจงก็เหมือนกับการมีแนวโน้มที่จะประพฤติตนในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง มุมมองนี้มักได้รับแรงบันดาลใจจากการพิจารณาเชิงประจักษ์: เป็นเรื่องยากมากที่จะศึกษาการคิดในฐานะกระบวนการทางจิตส่วนบุคคล แต่การศึกษาว่าสิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสถานการณ์บางอย่างด้วยพฤติกรรมที่กำหนดนั้นง่ายกว่ามาก[47]ในแง่นี้ ความสามารถในการแก้ปัญหาไม่ใช่ผ่านนิสัยที่มีอยู่ แต่ผ่านแนวทางใหม่ที่สร้างสรรค์นั้นมีความเกี่ยวข้องเป็นพิเศษ[48]คำว่า "พฤติกรรมนิยม" บางครั้งใช้ในความหมายที่แตกต่างกันเล็กน้อยเมื่อนำไปใช้กับการคิดเพื่ออ้างถึงทฤษฎีการพูดภายในรูปแบบเฉพาะ[49]มุมมองนี้มุ่งเน้นไปที่แนวคิดที่ว่าการพูดภายในที่เกี่ยวข้องเป็นรูปแบบอนุพันธ์ของการพูดภายนอกปกติ[1]ความรู้สึกนี้ทับซ้อนกับความเข้าใจพฤติกรรมนิยมในปรัชญาจิตทั่วไป เนื่องจากนักวิจัยไม่ได้สังเกตเห็นการกระทำของคำพูดภายในเหล่านี้ แต่อนุมานได้จากพฤติกรรมอันชาญฉลาดของผู้ทดลองเท่านั้น[49]ยังคงเป็นจริงตามหลักการพฤติกรรมนิยมทั่วไปที่ว่าหลักฐานทางพฤติกรรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสมมติฐานทางจิตวิทยาใดๆ[47]

        ปัญหาอย่างหนึ่งของลัทธิพฤติกรรมนิยมก็คือ ตัวตนเดียวกันมักจะแสดงพฤติกรรมที่แตกต่างกัน แม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับก่อนหน้านี้ก็ตาม[50] [51]ปัญหานี้ประกอบด้วยข้อเท็จจริงที่ว่าความคิดหรือสภาวะทางจิตของแต่ละคนมักจะไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมเฉพาะอย่างหนึ่ง ดังนั้น การคิดว่าพายมีรสชาติดีไม่ได้นำไปสู่การกินพายโดยอัตโนมัติ เนื่องจากสภาวะทางจิตอื่นๆ อาจยังคงยับยั้งพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่น ความเชื่อที่ว่าการทำเช่นนั้นไม่สุภาพหรือพายมีพิษ[52] [53]

        การคำนวณเชิงคำนวณ

        แก้ไข

        ทฤษฎีการคิด แบบคำนวณซึ่งมักพบในวิทยาศาสตร์การรับรู้ เข้าใจการคิดเป็นรูปแบบหนึ่งของการประมวลผลข้อมูล[41] [54] [45]มุมมองเหล่านี้พัฒนาขึ้นพร้อมกับการเติบโตของคอมพิวเตอร์ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 20 เมื่อนักทฤษฎีต่างๆ มองว่าการคิดนั้นคล้ายคลึงกับการทำงานของคอมพิวเตอร์[54]สำหรับมุมมองดังกล่าว ข้อมูลอาจถูกเข้ารหัสต่างกันในสมอง แต่โดยหลักการแล้ว การทำงานแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นที่นั่นเช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับการจัดเก็บ การส่ง และการประมวลผลข้อมูล[1] [13]แม้ว่าการเปรียบเทียบนี้จะมีความน่าสนใจในระดับหนึ่ง แต่บรรดานักทฤษฎีก็ยังพยายามอย่างหนักที่จะให้คำอธิบายที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าการคำนวณคืออะไร ปัญหาอีกประการหนึ่งอยู่ที่การอธิบายความหมายที่การคิดเป็นรูปแบบหนึ่งของการคำนวณ [ 45]มุมมองที่ครอบงำโดยทั่วไปนั้นกำหนดการคำนวณในแง่ของเครื่องทัวริงแม้ว่าเรื่องราวร่วมสมัยมักจะเน้นที่เครือข่ายประสาทสำหรับการเปรียบเทียบก็ตาม[41]เครื่องทัวริงสามารถดำเนินการตามอัลกอริทึมใดๆ ก็ได้โดยอิงตามหลักการพื้นฐานเพียงไม่กี่ประการ เช่น การอ่านสัญลักษณ์จากเซลล์ การเขียนสัญลักษณ์ลงในเซลล์ และการดำเนินการตามคำสั่งโดยอิงตามสัญลักษณ์ที่อ่าน[41]ด้วยวิธีนี้ จึงสามารถดำเนินการให้เหตุผลแบบนิรนัยตามกฎการอนุมานของตรรกะเชิงรูปนัยตลอดจนจำลองการทำงานอื่นๆ มากมายของจิตใจ เช่น การประมวลผลภาษา การตัดสินใจ และการควบคุมการเคลื่อนไหว[54] [45]แต่การคำนวณไม่ได้อ้างเพียงว่าการคิดในบางแง่มุมนั้นคล้ายกับการคำนวณเท่านั้น แต่ยังอ้างอีกว่าการคิดเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของการคำนวณ หรือว่าจิตใจเป็นเครื่องทัวริง[45]

        ทฤษฎีความคิดเชิงคำนวณบางครั้งแบ่งออกเป็นแนวทางเชิงหน้าที่นิยมและเชิงตัวแทน[45]แนวทางเชิงหน้าที่นิยมกำหนดสถานะทางจิตผ่านบทบาทเชิงเหตุปัจจัย แต่ให้ทั้งเหตุการณ์ภายนอกและภายในในเครือข่ายเชิงเหตุปัจจัย[55] [56] [57]ความคิดอาจถือได้ว่าเป็นรูปแบบของโปรแกรมที่สามารถดำเนินการได้ในลักษณะเดียวกันโดยระบบต่างๆ มากมาย รวมถึงมนุษย์ สัตว์ และแม้แต่หุ่นยนต์ ตามมุมมองดังกล่าว ว่าสิ่งหนึ่งเป็นความคิดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับบทบาทของมัน "ในการสร้างสถานะภายในเพิ่มเติมและผลลัพธ์ทางวาจา" [58] [55]ในทางกลับกัน แนวคิดเชิงตัวแทนเน้นที่คุณลักษณะเชิงตัวแทนของสถานะทางจิตและกำหนดความคิดเป็นลำดับของสถานะทางจิตโดยเจตนา[59] [45]ในแง่นี้ แนวคิดเชิงคำนวณมักถูกผสมผสานกับภาษาของสมมติฐานความคิดโดยตีความลำดับเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์ซึ่งลำดับนั้นถูกควบคุมโดยกฎทางวากยสัมพันธ์[45] [32]

        มีการโต้แย้งกันมากมายเกี่ยวกับลัทธิการคำนวณ ในแง่หนึ่ง ดูเหมือนจะไม่สำคัญ เนื่องจากระบบทางกายภาพแทบทุกระบบสามารถอธิบายได้ว่าทำการคำนวณและคิดด้วย ตัวอย่างเช่น มีการโต้แย้งว่าการเคลื่อนที่ของโมเลกุลในกำแพงปกติสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการคำนวณอัลกอริทึม เนื่องจากการเคลื่อนที่ของโมเลกุลนั้น "มีโครงสร้างทางรูปแบบของโปรแกรมที่เหมือนกัน" ตามการตีความที่ถูกต้อง[45]สิ่งนี้จะนำไปสู่ข้อสรุปที่ไม่น่าเชื่อว่ากำแพงคือการคิด ข้อโต้แย้งอีกประการหนึ่งมุ่งเน้นไปที่แนวคิดที่ว่าลัทธิการคำนวณจับเฉพาะบางแง่มุมของความคิดเท่านั้น แต่ไม่สามารถอธิบายแง่มุมสำคัญอื่นๆ ของการรับรู้ของมนุษย์ได้[45] [54]

        ประเภทของการคิด

        แก้ไข

        วรรณกรรมทางวิชาการมีการกล่าวถึงรูปแบบการคิดที่หลากหลายมากมาย แนวทางทั่วไปแบ่งรูปแบบการคิดออกเป็น 2 ประเภท คือ แนวคิดที่มุ่งสร้างความรู้เชิงทฤษฎี และแนวคิดที่มุ่งสร้างการกระทำหรือการตัดสินใจที่ถูกต้อง[22]แต่ไม่มีอนุกรมวิธานที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วไปที่สรุปประเภททั้งหมดเหล่านี้

        ความบันเทิง การตัดสิน และการใช้เหตุผล

        แก้ไข

        การคิดมักจะถูกระบุด้วยการกระทำของการตัดสินการตัดสินคือการดำเนินการทางจิตที่ซึ่งข้อเสนอถูกเรียกขึ้นมาแล้วจึงยืนยันหรือปฏิเสธ[6] [60]ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรและมีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดว่าข้อเสนอที่ถูกตัดสินนั้นเป็นจริงหรือเท็จ[61] [62]มีการเสนอทฤษฎีการตัดสินต่างๆ มากมาย แนวทางที่โดดเด่นตามธรรมเนียมคือทฤษฎีการผสมผสาน ซึ่งระบุว่าการตัดสินประกอบด้วยการผสมผสานแนวคิด[63]จากมุมมองนี้ การตัดสินว่า "มนุษย์ทุกคนต้องตาย" คือการรวมแนวคิด "มนุษย์" และ "ต้องตาย" เข้าด้วยกัน แนวคิดเดียวกันสามารถรวมกันได้หลายวิธี ซึ่งสอดคล้องกับรูปแบบการตัดสินที่แตกต่างกัน เช่น "มนุษย์บางคนต้องตาย" หรือ "ไม่มีมนุษย์คนใดต้องตาย" [64]

        ทฤษฎีการตัดสินอื่นๆ เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างข้อเสนอที่ตัดสินและความเป็นจริงมากกว่า ตามที่Franz Brentano กล่าวไว้ การตัดสินคือความเชื่อหรือการไม่เชื่อในความมีอยู่ของบางสิ่ง[63] [65]ในความหมายนี้ การตัดสินมีอยู่เพียงสองรูปแบบพื้นฐาน: "A มีอยู่" และ "A ไม่มีอยู่" เมื่อนำไปใช้กับประโยค "มนุษย์ทุกคนเป็นอมตะ" สิ่งที่เป็นปัญหาคือ "มนุษย์อมตะ" ซึ่งกล่าวกันว่าไม่มีอยู่[63] [65]สิ่งสำคัญสำหรับ Brentano คือความแตกต่างระหว่างการแสดงเนื้อหาของการตัดสินและการยืนยันหรือปฏิเสธเนื้อหา[63] [65]การแสดงข้อเสนอเพียงอย่างเดียวมักเรียกอีกอย่างว่า "การยอมรับข้อเสนอ" ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนพิจารณาข้อเสนอแต่ยังไม่ตัดสินใจว่าข้อเสนอนั้นเป็นจริงหรือเท็จ[63] [65]คำว่า "คิด" อาจหมายถึงการตัดสินและการคิดเล่นๆ ความแตกต่างนี้มักจะชัดเจนในวิธีแสดงความคิด "คิดว่า" มักเกี่ยวข้องกับการตัดสิน ในขณะที่ "คิดเกี่ยวกับ" หมายถึงการแสดงความคิดที่เป็นกลางโดยไม่มีความเชื่อมาเกี่ยวข้อง ในกรณีนี้ ความคิดนั้นเป็นเพียงการแสดงความคิดแต่ยังไม่ได้รับการตัดสิน[19] รูปแบบการคิดบางรูปแบบอาจเกี่ยวข้องกับการแสดงวัตถุที่ไม่มีความคิดเล่น ๆเช่น เมื่อมีคนคิดถึงยายของตน[6]

        การใช้เหตุผลเป็นรูปแบบการคิดที่เป็นแบบแผนที่สุดรูปแบบหนึ่ง เป็นกระบวนการดึงข้อสรุปจากสถานที่ตั้งหรือหลักฐาน ประเภทของการใช้เหตุผลสามารถแบ่งออกเป็นการใช้เหตุผลแบบนิรนัยและแบบไม่นิรนัยการใช้เหตุผลแบบนิรนัยถูกควบคุมโดยกฎการอนุมาน บางประการ ซึ่งรับประกันความจริงของข้อสรุปหากสถานที่ตั้งเป็นจริง[1] [66]ตัวอย่างเช่น เมื่อกำหนดสถานที่ตั้งว่า "มนุษย์ทุกคนต้องตาย" และ "โสกราตีสเป็นมนุษย์" จึงสรุปได้ว่า "โสกราตีสต้องตาย" การใช้เหตุผลแบบไม่นิรนัย ซึ่งเรียกอีกอย่างว่าการใช้เหตุผลที่หักล้างได้หรือการใช้เหตุผลที่ไม่เป็นเอกภาพยังคงมีเหตุผลที่น่าเชื่อถือ แต่ความจริงของข้อสรุปนั้นไม่ได้รับประกันโดยความจริงของสถานที่ตั้ง[67] การเหนี่ยวนำเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้เหตุผลแบบไม่นิรนัย เช่น เมื่อเราสรุปว่า "ดวงอาทิตย์จะขึ้นในวันพรุ่งนี้" โดยอิงจากประสบการณ์ของเราในวันก่อนหน้าทั้งหมด รูปแบบอื่น ๆ ของการใช้เหตุผลแบบไม่นิรนัย ได้แก่การอนุมานถึงคำอธิบายที่ดีที่สุดและการใช้เหตุผลโดยการเปรียบเทียบ[68]

        ความผิดพลาดคือรูปแบบการคิดที่ผิดพลาดซึ่งขัดต่อบรรทัดฐานของการใช้เหตุผลที่ถูกต้อง ความ ผิด พลาดเชิงรูปแบบเกี่ยวข้องกับการอนุมานที่ผิดพลาดที่พบในการใช้เหตุผลแบบนิรนัย[69] [70] การปฏิเสธสาเหตุเป็นความผิดพลาดเชิงรูปแบบประเภทหนึ่ง เช่น "ถ้าโอเทลโลเป็นโสด เขาก็เป็นผู้ชาย โอเทลโลไม่ใช่โสด ดังนั้น โอเทลโลจึงไม่ใช่ผู้ชาย" [1] [71] ในทางกลับกัน ความผิดพลาดที่ไม่เป็นทางการ นั้นใช้ได้กับการใช้เหตุผลทุกประเภท แหล่งที่มาของข้อบกพร่องนั้นพบได้ใน เนื้อหาหรือบริบทของการโต้แย้ง[72] [69] [73]ซึ่งมักเกิดจากสำนวนที่คลุมเครือในภาษาธรรมชาติเช่น "ขนคือแสง สิ่งที่เป็นแสงไม่สามารถมืดได้ ดังนั้น ขนจึงไม่สามารถมืดได้" [74]ประเด็นสำคัญประการหนึ่งของความผิดพลาดคือ ดูเหมือนว่ามันจะมีเหตุผลเพียงพอที่จะโน้มน้าวใจผู้คนให้ยอมรับและทำตาม[69]การใช้เหตุผลถือเป็นความผิดพลาดหรือไม่นั้นไม่ขึ้นอยู่กับว่าข้อสมมติฐานนั้นเป็นจริงหรือเท็จ แต่ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับข้อสรุป และในบางกรณี ขึ้นอยู่กับบริบท[1]

        การสร้างแนวคิด

        แก้ไข

        แนวคิดเป็นแนวคิดทั่วไปที่ประกอบเป็นหน่วยพื้นฐานของความคิด[75] [76]เป็นกฎที่ควบคุมวิธีการจัดเรียงวัตถุเป็นคลาสต่างๆ[77] [78]บุคคลสามารถคิดเกี่ยวกับข้อเสนอได้ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับข้อเสนอนั้น[79]ตัวอย่างเช่น ข้อเสนอ " วอมแบตเป็นสัตว์" เกี่ยวข้องกับแนวคิด "วอมแบต" และ "สัตว์" บุคคลที่ไม่มีแนวคิด "วอมแบต" อาจยังสามารถอ่านประโยคได้ แต่ไม่สามารถพิจารณาข้อเสนอที่เกี่ยวข้องได้ การสร้างแนวคิดเป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดซึ่งจะต้องเรียนรู้แนวคิดใหม่[78]ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำความคุ้นเคยกับลักษณะเฉพาะที่ทุกกรณีของประเภทเอนทิตีที่สอดคล้องกันมีร่วมกันและพัฒนาความสามารถในการระบุกรณีเชิงบวกและเชิงลบ กระบวนการนี้มักสอดคล้องกับการเรียนรู้ความหมายของคำที่เกี่ยวข้องกับประเภทที่เป็นปัญหา[77] [78]มีทฤษฎีต่างๆ มากมายเกี่ยวกับวิธีการทำความเข้าใจแนวคิดและการครอบครองแนวคิด[75]การใช้คำอุปมาอุปไมยอาจช่วยในกระบวนการสร้างแนวคิด[80]

        ตามความเห็นที่เป็นที่นิยมอย่างหนึ่ง แนวคิดนั้นต้องเข้าใจในแง่ของความสามารถในมุมมองนี้ มีลักษณะสำคัญสองประการที่แสดงถึงการครอบครองแนวคิด ได้แก่ ความสามารถในการแยกแยะระหว่างกรณีเชิงบวกและเชิงลบ และความสามารถในการสรุปแนวคิดนี้ไปยังแนวคิดที่เกี่ยวข้อง การสร้างแนวคิดสอดคล้องกับการได้รับความสามารถเหล่านี้[79] [81] [75]มีการเสนอแนะว่าสัตว์สามารถเรียนรู้แนวคิดได้ในระดับหนึ่งเช่นกัน เนื่องมาจากความสามารถในการแยกแยะระหว่างสถานการณ์ประเภทต่างๆ และปรับพฤติกรรมให้เหมาะสม[77] [82]

        การแก้ปัญหา

        แก้ไข

        ในกรณีของการแก้ปัญหาการคิดมุ่งไปที่การบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ล่วงหน้าโดยการเอาชนะอุปสรรคบางอย่าง[7] [1] [78]กระบวนการนี้มักเกี่ยวข้องกับการคิดสองรูปแบบที่แตกต่างกัน ในแง่หนึ่งการคิดแบบแยกส่วนมุ่งไปที่การนำเสนอทางเลือกมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกแง่หนึ่ง การคิดแบบบรรจบกันพยายามที่จะจำกัดขอบเขตของทางเลือกให้เหลือเพียงตัวเลือกที่มีแนวโน้มมากที่สุด[1] [83] [84]นักวิจัยบางคนระบุขั้นตอนต่างๆ ในกระบวนการแก้ปัญหา ขั้นตอนเหล่านี้รวมถึงการรับรู้ปัญหา การพยายามทำความเข้าใจลักษณะของปัญหา การระบุเกณฑ์ทั่วไปที่โซลูชันควรเป็นไปตาม การตัดสินใจว่าจะจัดลำดับความสำคัญของเกณฑ์เหล่านี้อย่างไร การติดตามความคืบหน้า และการประเมินผลลัพธ์[1]

        ความแตกต่างที่สำคัญเกี่ยวข้องกับประเภทของปัญหาที่ต้องเผชิญ สำหรับปัญหาที่มีโครงสร้างที่ดีนั้น การกำหนดขั้นตอนที่ต้องดำเนินการเพื่อแก้ปัญหานั้นเป็นเรื่องง่าย แต่การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้อาจยังคงเป็นเรื่องยาก[1] [85]ในทางกลับกัน สำหรับปัญหาที่มีโครงสร้างไม่ดี ก็ไม่ชัดเจนว่าต้องดำเนินการตามขั้นตอนใด กล่าวคือ ไม่มีสูตรที่ชัดเจนที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้หากปฏิบัติตามอย่างถูกต้อง ในกรณีนี้ บางครั้งวิธีแก้ปัญหาอาจมาในทันทีทันใดซึ่งทำให้มองเห็นปัญหาในมุมมองใหม่ทันที[1] [85]อีกวิธีหนึ่งในการจัดหมวดหมู่รูปแบบต่างๆ ของการแก้ปัญหาคือการแยกแยะระหว่างอัลกอริทึมและฮิวริสติกส์ [ 78]อัลกอริทึมเป็นขั้นตอนทางการซึ่งแต่ละขั้นตอนได้รับการกำหนดไว้อย่างชัดเจน รับรองความสำเร็จหากนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง[1] [78]การคูณแบบยาวที่มักสอนในโรงเรียนเป็นตัวอย่างของอัลกอริทึมสำหรับแก้ปัญหาการคูณจำนวนมาก ฮิวริสติกส์เป็นขั้นตอนที่ไม่เป็นทางการ กฎเกณฑ์เหล่า นี้เป็นเพียงกฎเกณฑ์คร่าวๆ ที่อาจช่วยให้ผู้คิดเข้าใกล้ทางออกมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้รับประกันความสำเร็จในทุกกรณี แม้ว่าจะปฏิบัติตามอย่างถูกต้องก็ตาม[1] [78]ตัวอย่างของฮิวริสติกส์ ได้แก่ การทำงานไปข้างหน้าและการทำงานย้อนหลัง วิธีการเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการวางแผนทีละขั้นตอน โดยเริ่มตั้งแต่จุดเริ่มต้นและดำเนินต่อไป หรือเริ่มตั้งแต่จุดสิ้นสุดและถอยหลัง ดังนั้น เมื่อวางแผนการเดินทาง เราอาจวางแผนขั้นตอนต่างๆ ของการเดินทางจากจุดเริ่มต้นไปยังจุดหมายปลายทางตามลำดับเวลาของการเดินทาง หรืออาจวางแผนในลำดับย้อนกลับก็ได้[1]

        อุปสรรคในการแก้ปัญหาอาจเกิดขึ้นจากความล้มเหลวของนักคิดในการคำนึงถึงความเป็นไปได้บางประการด้วยการจดจ่ออยู่กับแนวทางการดำเนินการเฉพาะอย่างหนึ่ง[1]มีความแตกต่างที่สำคัญระหว่างวิธีการแก้ปัญหาของมือใหม่และผู้เชี่ยวชาญ ตัวอย่างเช่น ผู้เชี่ยวชาญมักจะจัดสรรเวลาสำหรับการสร้างแนวคิดเกี่ยวกับปัญหามากขึ้นและทำงานกับการนำเสนอที่ซับซ้อนมากขึ้น ในขณะที่มือใหม่มักจะอุทิศเวลาให้กับการดำเนินการแก้ปัญหาที่คาดว่าจะเกิดขึ้นมากกว่า[1]

        การปรึกษาหารือและตัดสินใจ

        แก้ไข

        การไตร่ตรองเป็นรูปแบบที่สำคัญของการคิดเชิงปฏิบัติ มีจุดมุ่งหมายเพื่อกำหนดแนวทางปฏิบัติที่เป็นไปได้และประเมินค่าของแนวทางปฏิบัติเหล่านั้นโดยพิจารณาถึงเหตุผลสำหรับและต่อต้านแนวทางปฏิบัติเหล่านั้น[86]ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมองการณ์ไกลเพื่อคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้น โดยอิงจากการมองการณ์ไกลนี้ จึงสามารถกำหนดแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกันเพื่อมีอิทธิพลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้น การตัดสินใจเป็นส่วนสำคัญของการไตร่ตรอง การเปรียบเทียบแนวทางปฏิบัติทางเลือกและเลือกแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมที่สุด[66] [22] ทฤษฎีการตัดสินใจเป็นแบบจำลองทางการของวิธีการที่ตัวแทนที่มีเหตุผลในอุดมคติจะตัดสินใจ[78] [87] [88]ทฤษฎีนี้ตั้งอยู่บนแนวคิดที่ว่าตัวแทนควรเลือกทางเลือกที่มีมูลค่าคาดหวังสูงสุดเสมอ ทางเลือกแต่ละทางสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ต่างๆ ซึ่งแต่ละทางมีค่าที่แตกต่างกัน มูลค่าคาดหวังของทางเลือกประกอบด้วยผลรวมของค่าของผลลัพธ์แต่ละอย่างที่เกี่ยวข้องคูณด้วยความน่าจะเป็นที่ผลลัพธ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้น[87] [88]ตามทฤษฎีการตัดสินใจ การตัดสินใจจะถือว่ามีเหตุผลหากตัวแทนเลือกทางเลือกที่มีมูลค่าคาดหวังสูงสุดตามที่ประเมินจากมุมมองของตัวแทนเอง[87] [88]

        นักทฤษฎีหลายคนเน้นย้ำถึงธรรมชาติในทางปฏิบัติของความคิด กล่าวคือ การคิดมักได้รับการชี้นำจากงานบางอย่างที่มุ่งหวังจะแก้ไข ในแง่นี้ การคิดถูกนำไปเปรียบเทียบกับการลองผิดลองถูกที่เห็นในพฤติกรรมของสัตว์เมื่อเผชิญกับปัญหาใหม่ ในมุมมองนี้ ความแตกต่างที่สำคัญคือกระบวนการนี้เกิดขึ้นภายในในรูปแบบของการจำลอง[1]กระบวนการนี้มักจะมีประสิทธิภาพมากกว่ามาก เนื่องจากเมื่อพบวิธีแก้ปัญหาในความคิด จะต้องดำเนินการเฉพาะพฤติกรรมที่สอดคล้องกับวิธีแก้ปัญหาที่พบเท่านั้น ไม่ใช่พฤติกรรมอื่นๆ ทั้งหมด[1]

        ความจำและจินตนาการตามเหตุการณ์

        แก้ไข

        เมื่อเข้าใจความคิดในความหมายกว้างๆ จะรวมถึงทั้งความจำแบบเหตุการณ์และจินตนาการ[20]ในความจำแบบเหตุการณ์ เหตุการณ์ที่เราประสบในอดีตจะถูกรำลึกถึงอีกครั้ง[89] [90] [91]เป็นรูปแบบหนึ่งของการเดินทางข้ามเวลาทางจิตซึ่งประสบการณ์ในอดีตจะถูกประสบพบอีกครั้ง[91] [92]แต่สิ่งนี้ไม่ถือเป็นสำเนาที่แน่นอนของประสบการณ์เดิม เนื่องจากความจำแบบเหตุการณ์เกี่ยวข้องกับลักษณะเพิ่มเติมและข้อมูลที่ไม่มีอยู่ในประสบการณ์เดิม ซึ่งรวมถึงทั้งความรู้สึกคุ้นเคยและข้อมูลตามลำดับเวลาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีตที่สัมพันธ์กับปัจจุบัน[89] [91]ความจำมีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรในอดีต ตรงกันข้ามกับจินตนาการ ซึ่งนำเสนอวัตถุโดยไม่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแสดงให้เห็นว่าสิ่งต่างๆ เป็นอย่างไรหรือเคยเป็นมาอย่างไร[93]เนื่องจากการขาดการเชื่อมโยงกับความเป็นจริงนี้ จินตนาการในรูปแบบต่างๆ จึงมีอิสระมากขึ้น เนื้อหาสามารถเปลี่ยนแปลงและรวมกันใหม่ได้อย่างอิสระเพื่อสร้างการจัดเรียงใหม่ที่ไม่เคยพบมาก่อน[94]ความจำและจินตนาการแบบชั่วคราวมีความคล้ายคลึงกับรูปแบบความคิดอื่นๆ ที่สามารถเกิดขึ้นภายในได้โดยไม่ต้องมีการกระตุ้นจากอวัยวะรับความรู้สึกใดๆ[95] [94]แต่ยังคงใกล้เคียงกับความรู้สึกมากกว่ารูปแบบความคิดที่เป็นนามธรรมมากกว่า เนื่องจากนำเสนอเนื้อหาทางประสาทสัมผัสที่อย่างน้อยก็ในหลักการก็สามารถรับรู้ได้เช่นกัน

        ความคิดที่ไม่รู้ตัว

        แก้ไข

        ความคิด ที่มีสติเป็นรูปแบบการคิดแบบองค์รวมและมักจะเป็นจุดสนใจของการวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่มีการโต้แย้งว่ารูปแบบความคิดบางรูปแบบก็เกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึก เช่น กัน[9] [10] [4] [5]ความคิดที่ไม่รู้ตัวคือความคิดที่เกิดขึ้นเบื้องหลังโดยไม่ได้สัมผัสได้ จึงไม่สามารถสังเกตได้โดยตรง ในทางกลับกัน การมีอยู่ของมันมักจะอนุมานได้จากวิธีการอื่น[10]ตัวอย่างเช่น เมื่อมีคนต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญหรือปัญหาที่ยาก พวกเขาอาจไม่สามารถแก้ไขได้ทันที แต่ในเวลาต่อมา วิธีแก้ไขอาจปรากฏขึ้นมาต่อหน้าพวกเขาอย่างกะทันหัน แม้ว่าในระหว่างนั้นจะไม่มีการใช้ความคิดอย่างมีสติเพื่อหาทางแก้ไขก็ตาม[10] [9]ในกรณีเช่นนี้ แรงงานทางปัญญาที่จำเป็นในการไปถึงวิธีแก้ไขมักจะอธิบายในแง่ของความคิดที่ไม่รู้ตัว แนวคิดหลักคือการเปลี่ยนแปลงทางปัญญาเกิดขึ้นและเราจำเป็นต้องกำหนดความคิดที่ไม่รู้ตัวเพื่อที่จะสามารถอธิบายว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร[10] [9]

        มีการโต้แย้งกันว่าความคิดที่มีสติและไร้สติแตกต่างกันไม่เพียงแค่ในเรื่องความสัมพันธ์กับประสบการณ์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถด้วย ตามทฤษฎีความคิดไร้สติตัวอย่างเช่น ความคิดที่มีสติจะโดดเด่นในปัญหาพื้นฐานที่มีตัวแปรไม่กี่ตัว แต่จะถูกเอาชนะโดยความคิดไร้สติเมื่อมีปัญหาซับซ้อนที่มีตัวแปรจำนวนมากเข้ามาเกี่ยวข้อง[10] [9]บางครั้งสิ่งนี้สามารถอธิบายได้จากการอ้างว่าจำนวนรายการที่เราสามารถคิดอย่างมีสติได้ในเวลาเดียวกันนั้นค่อนข้างจำกัด ในขณะที่ความคิดไร้สติไม่มีข้อจำกัดดังกล่าว[10]แต่ผู้วิจัยรายอื่นๆ ปฏิเสธการอ้างว่าความคิดไร้สติมักจะเหนือกว่าความคิดที่มีสติ[96] [97]ข้อเสนอแนะอื่นๆ สำหรับความแตกต่างระหว่างรูปแบบการคิดทั้งสองรูปแบบ ได้แก่ ความคิดที่มีสติมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตามกฎตรรกะอย่างเป็นทางการ ในขณะที่ความคิดไร้สติจะอาศัยการประมวลผลแบบเชื่อมโยงมากกว่า และมีเพียงความคิดที่มีสติเท่านั้นที่ได้รับการกำหนดเป็นแนวคิดและเกิดขึ้นผ่านสื่อกลางของภาษา[10] [98]

        ในสาขาวิชาต่างๆ

        แก้ไข

        ปรากฏการณ์วิทยา

        แก้ไข

        ปรากฏการณ์วิทยาเป็นวิทยาศาสตร์ของโครงสร้างและเนื้อหาของประสบการณ์99] [100]คำว่า "ปรากฏการณ์วิทยาการรู้คิด" หมายถึงลักษณะเชิงประสบการณ์ของการคิดหรือความรู้สึกในการคิด[4] [101] [102] [6] [103]นักทฤษฎีบางคนอ้างว่าไม่มีปรากฏการณ์วิทยาการรู้คิดที่โดดเด่น จากมุมมองดังกล่าว ประสบการณ์การคิดเป็นเพียงรูปแบบหนึ่งของประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส[103] [104] [105]ตามทฤษฎีหนึ่ง การคิดเกี่ยวข้องกับการได้ยินเสียงภายในเท่านั้น[104]ตามทฤษฎีอื่น ไม่มีประสบการณ์การคิดนอกเหนือจากผลทางอ้อมที่การคิดมีต่อประสบการณ์ทางประสาทสัมผัส[4] [101]แนวทางที่อ่อนแอกว่าดังกล่าวอนุญาตให้การคิดอาจมีปรากฏการณ์วิทยาที่แตกต่างกัน แต่แย้งว่าการคิดยังคงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ทางประสาทสัมผัสเนื่องจากไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง จากมุมมองนี้ เนื้อหาทางประสาทสัมผัสเป็นรากฐานที่การคิดอาจเกิดขึ้นได้[4] [104] [105]

        การทดลองทางความคิดที่มักถูกอ้างถึงเพื่อสนับสนุนการมีอยู่ของปรากฏการณ์วิทยาการรู้คิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะนั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลสองคนที่ฟังการออกอากาศทางวิทยุเป็นภาษาฝรั่งเศส คนหนึ่งเข้าใจภาษาฝรั่งเศสและอีกคนไม่เข้าใจ [ 4] [101] [102] [106]แนวคิดเบื้องหลังตัวอย่างนี้คือผู้ฟังทั้งสองได้ยินเสียงเดียวกันและด้วยเหตุนี้จึงมีประสบการณ์ที่ไม่ใช่การรู้คิดเหมือนกัน เพื่ออธิบายความแตกต่าง จำเป็นต้องตั้งสมมติฐานปรากฏการณ์วิทยาการรู้คิดที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ: ประสบการณ์ของบุคคลที่หนึ่งเท่านั้นที่มีลักษณะการรู้คิดเพิ่มเติมนี้เนื่องจากมาพร้อมกับความคิดที่สอดคล้องกับความหมายของสิ่งที่พูด[4] [101] [102] [107]ข้อโต้แย้งอื่นๆ สำหรับประสบการณ์การคิดมุ่งเน้นไปที่การเข้าถึงการคิดโดยตรงโดยมองย้อนเข้าไปในตัวเองหรือความรู้ของนักคิดเกี่ยวกับความคิดของตนเอง[4] [101] [102]

        นักปรากฏการณ์วิทยายังสนใจเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของประสบการณ์การคิด การตัดสินเป็นรูปแบบต้นแบบของปรากฏการณ์วิทยาการรู้คิด[102] [108]ซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวแทนของญาณวิทยา ซึ่งในนั้นจะมีการพิจารณาข้อเสนอ หลักฐานที่สนับสนุนและคัดค้านข้อเสนอนั้นจะถูกพิจารณา และจากเหตุผลนี้ ข้อเสนอนั้นจะได้รับการยืนยันหรือปฏิเสธ[102]บางครั้งมีการโต้แย้งว่าประสบการณ์ของความจริงเป็นศูนย์กลางของการคิด กล่าวคือ การคิดมุ่งหมายที่จะแสดงถึงลักษณะของโลก[6] [101]คุณลักษณะนี้เหมือนกับการรับรู้ แต่แตกต่างจากการรับรู้โลกในลักษณะที่มันแสดงถึงโลก: โดยไม่ใช้เนื้อหาทางประสาทสัมผัส[6]

        ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งที่มักจะถูกกำหนดให้กับการคิดและการตัดสินก็คือ เป็นประสบการณ์เชิงทำนาย ตรงกันข้ามกับประสบการณ์เชิงทำนายที่พบในการรับรู้โดยตรง[109] [110]จากมุมมองดังกล่าว ประสบการณ์การรับรู้ด้านต่างๆ คล้ายกับการตัดสินโดยไม่ได้เป็นการตัดสินในความหมายที่เคร่งครัด[4] [111] [112]ตัวอย่างเช่น ประสบการณ์การรับรู้ด้านหน้าบ้านนำมาซึ่งความคาดหวังต่างๆ เกี่ยวกับด้านต่างๆ ของบ้านที่มองไม่เห็นโดยตรง เช่น ขนาดและรูปร่างของด้านอื่นๆ กระบวนการนี้บางครั้งเรียกว่าการรับรู้ [ 4] [111]ความคาดหวังเหล่านี้คล้ายกับการตัดสินและอาจผิดพลาดได้ ซึ่งจะเป็นกรณีที่เมื่อเดินไปรอบๆ "บ้าน" แล้วพบว่าไม่ใช่บ้านเลย แต่เป็นเพียงส่วนหน้าของบ้านที่ไม่มีอะไรอยู่ด้านหลัง ในกรณีนี้ ความคาดหวังในการรับรู้จะผิดหวัง และผู้รับรู้จะรู้สึกประหลาดใจ[4]มีความเห็นไม่ตรงกันว่าควรเข้าใจลักษณะก่อนการทำนายของการรับรู้ปกติเหล่านี้ว่าเป็นรูปแบบของปรากฏการณ์วิทยาการทางปัญญาที่เกี่ยวข้องกับการคิดหรือไม่[4]ประเด็นนี้มีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างความคิดและภาษา เหตุผลก็คือความคาดหวังก่อนการทำนายไม่ขึ้นอยู่กับภาษา ซึ่งบางครั้งใช้เป็นตัวอย่างของความคิดที่ไม่ใช่ภาษา[4]นักทฤษฎีหลายคนโต้แย้งว่าประสบการณ์ก่อนการทำนายนั้นพื้นฐานหรือเป็นรากฐานมากกว่า เนื่องจากประสบการณ์การทำนายนั้นสร้างขึ้นบนประสบการณ์ดังกล่าวในบางแง่มุมและจึงขึ้นอยู่กับประสบการณ์ดังกล่าว[112] [109] [110]

        อีกวิธีหนึ่งที่นักปรากฏการณ์วิทยาพยายามแยกแยะประสบการณ์การคิดจากประสบการณ์ประเภทอื่น ๆ คือ เกี่ยวข้องกับเจตนาที่ว่างเปล่าซึ่งต่างจากเจตนาโดยสัญชาตญาณ[113] [114]ในบริบทนี้ "เจตนา" หมายถึงวัตถุบางประเภทที่ได้รับประสบการณ์ ในเจตนาโดยสัญชาตญาณวัตถุจะถูกนำเสนอผ่านเนื้อหาทางประสาทสัมผัสในทางกลับกันเจตนา ที่ว่างเปล่าจะนำเสนอวัตถุในลักษณะที่เป็นนามธรรมมากขึ้นโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเนื้อหาทางประสาทสัมผัส [113] [4] [114]ดังนั้น เมื่อรับรู้พระอาทิตย์ตกดิน จะถูกนำเสนอผ่านเนื้อหาทางประสาทสัมผัส พระอาทิตย์ตกเดียวกันนั้นสามารถนำเสนอได้โดยไม่สัญชาตญาณเช่นกัน เมื่อเพียงแค่คิดถึงมันโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเนื้อหาทางประสาทสัมผัส[114]ในกรณีเหล่านี้ คุณสมบัติเดียวกันจะถูกกำหนดให้กับวัตถุ ความแตกต่างระหว่างโหมดการนำเสนอเหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติที่กำหนดให้กับวัตถุที่นำเสนอ แต่เกี่ยวข้องกับวิธีการนำเสนอวัตถุ[113]เนื่องจากความเหมือนกันนี้ จึงเป็นไปได้ที่การแสดงที่เป็นของโหมดที่แตกต่างกันจะทับซ้อนกันหรือแยกออกจากกัน[6]ตัวอย่างเช่น เมื่อค้นหาแว่นตาของตัวเอง เราอาจคิดกับตัวเองว่าลืมแว่นตาไว้บนโต๊ะครัว ความตั้งใจว่างเปล่าของแว่นตาที่วางอยู่บนโต๊ะครัวจะเกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณเมื่อเราเห็นแว่นตาเหล่านั้นวางอยู่บนโต๊ะครัวเมื่อมาถึงครัว ด้วยวิธีนี้ การรับรู้สามารถยืนยันหรือหักล้างความคิดได้ ขึ้นอยู่กับว่าสัญชาตญาณว่างเปล่านั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ในภายหลัง[6] [114]

        อภิปรัชญา

        แก้ไข

        ปัญหา จิตใจ-ร่างกายเกี่ยวข้องกับการอธิบายความสัมพันธ์ที่มีอยู่ระหว่างจิตใจหรือกระบวนการทางจิต และสถานะหรือกระบวนการทางร่างกาย[115]เป้าหมายหลักของนักปรัชญาที่ทำงานในพื้นที่นี้คือการกำหนดลักษณะของจิตใจและสถานะ/กระบวนการทางจิต และว่าจิตใจได้รับผลกระทบและสามารถส่งผลต่อร่างกายได้อย่างไร หรือแม้กระทั่งว่าหรือไม่

        ประสบการณ์การรับรู้ของมนุษย์ขึ้นอยู่กับสิ่งเร้า ที่ส่งไปยัง อวัยวะรับความรู้สึกต่างๆจากโลกภายนอก และสิ่งเร้าเหล่านี้ทำให้สภาพจิตใจของบุคคลเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะทำให้บุคคลนั้นรู้สึกถึงความรู้สึกบางอย่าง ซึ่งอาจจะเป็นที่น่าพอใจหรือไม่น่าพอใจก็ได้ ตัวอย่างเช่น ความปรารถนาของใครบางคนที่จะกินพิซซ่าสักชิ้น จะทำให้บุคคลนั้นเคลื่อนไหวร่างกายในลักษณะเฉพาะและในทิศทางเฉพาะเพื่อให้ได้สิ่งที่เขาหรือเธอต้องการ คำถามก็คือ ประสบการณ์ที่มีสติสัมปชัญญะสามารถเกิดขึ้นได้อย่างไรจากก้อนเนื้อสีเทาที่มีคุณสมบัติทางเคมีไฟฟ้าเท่านั้น ปัญหาที่เกี่ยวข้องก็คือ การอธิบายว่าทัศนคติเชิงประพจน์ ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง (เช่น ความเชื่อและความปรารถนา) สามารถทำให้ เซลล์ประสาทของบุคคลนั้นทำงานและกล้ามเนื้อของเขาหดตัวในลักษณะที่ถูกต้องได้อย่างไร สิ่งเหล่านี้ประกอบเป็นปริศนาบางส่วนที่นักญาณวิทยาและนักปรัชญาแห่งจิตวิเคราะห์ต้องเผชิญตั้งแต่สมัยของเรอเน เดส์การ์ตส์ เป็นอย่างน้อย [116]

        ข้อความข้างต้นสะท้อนถึงคำอธิบายการทำงานแบบคลาสสิกเกี่ยวกับวิธีที่เราทำงานในฐานะระบบความคิดและการรับรู้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาทางจิตและร่างกายที่ดูเหมือนจะแก้ไขไม่ได้นั้น กล่าวกันว่าสามารถเอาชนะและหลีกเลี่ยงได้ด้วย แนวทางการรับรู้ แบบเป็นรูปธรรม ซึ่งมีรากฐานมาจากผลงานของไฮเดกเกอร์เพีย เจต์ วี กอตสกีเม อร์โล ปงตีและจอห์น ดิวอี้ นักปฏิบัตินิยม [117] [118]

        แนวทางนี้ระบุว่าแนวทางคลาสสิกในการแยกจิตใจและวิเคราะห์กระบวนการต่างๆ ของจิตใจนั้นเป็นแนวทางที่ผิดพลาด เราควรเห็นว่าจิตใจ การกระทำของตัวแทนที่เป็นรูปธรรม และสภาพแวดล้อมที่รับรู้และจินตนาการ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งขององค์รวมซึ่งกำหนดซึ่งกันและกัน ดังนั้น การวิเคราะห์เชิงหน้าที่ของจิตใจเพียงอย่างเดียวจะทำให้เรายังคงมีปัญหาระหว่างจิตใจกับร่างกายซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้[119]

        จิตวิทยา

        แก้ไข
        ผู้ชายกำลังคิดในระหว่างการเดินทางโดยรถไฟ

        นักจิตวิทยาเน้นที่การคิดในฐานะความพยายามทางปัญญาที่มุ่งหาคำตอบสำหรับคำถามหรือวิธีแก้ไขปัญหาในทางปฏิบัติ จิตวิทยาการรู้คิดเป็นสาขาหนึ่งของจิตวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตภายใน เช่น การแก้ปัญหา ความจำ และภาษา ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้ในการคิด สำนักคิดที่เกิดจากแนวทางนี้เรียกว่าลัทธิการรู้คิดซึ่งสนใจว่าผู้คนแสดงการประมวลผลข้อมูลในใจอย่างไร แนวคิดนี้มีรากฐานมาจากจิตวิทยาเกสตัลท์ของMax Wertheimer , Wolfgang KöhlerและKurt Koffka [ 120]และในงานของJean Piagetซึ่งได้เสนอทฤษฎีเกี่ยวกับขั้นตอน/ระยะต่างๆ ที่อธิบายพัฒนาการทางปัญญาของเด็ก

        นักจิตวิทยาด้านความรู้ความเข้าใจใช้ แนวทาง ทางจิตฟิสิกส์และการทดลองเพื่อทำความเข้าใจ วินิจฉัย และแก้ปัญหา โดยเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางจิตที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง พวกเขาศึกษาแนวคิดต่างๆ ของการคิด รวมถึงจิตวิทยาของการใช้เหตุผล และวิธีการตัดสินใจและการเลือกของผู้คน การแก้ปัญหา ตลอดจนการค้นพบความคิดสร้างสรรค์และการใช้จินตนาการ ทฤษฎีด้านความรู้ความเข้าใจโต้แย้งว่าแนวทางแก้ปัญหาจะอยู่ในรูปแบบของอัลกอริทึมซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่จำเป็นต้องเข้าใจแต่รับรองว่าจะแก้ปัญหาได้ หรือจะเป็นฮิวริสติกส์ซึ่งเป็นกฎเกณฑ์ที่เข้าใจแล้วแต่ไม่รับประกันว่าจะแก้ปัญหาได้เสมอไปวิทยาศาสตร์ด้านความรู้ความเข้าใจแตกต่างจากจิตวิทยาด้านความรู้ความเข้าใจตรงที่อัลกอริทึมที่มุ่งหวังจะจำลองพฤติกรรมของมนุษย์นั้นจะถูกนำไปใช้หรือสามารถนำไปใช้ได้บนคอมพิวเตอร์ ในกรณีอื่นๆ อาจพบแนวทางแก้ปัญหาได้ผ่านการมองเห็นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเป็นการตระหนักรู้ในความสัมพันธ์อย่างฉับพลัน

        ในด้านจิตวิทยาการพัฒนาอง เปียเจต์เป็นผู้บุกเบิกในการศึกษาพัฒนาการของความคิดตั้งแต่แรกเกิดจนโต ในทฤษฎีการพัฒนาทางปัญญา ของเขา ความคิดนั้นขึ้นอยู่กับการกระทำต่อสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ เปียเจต์เสนอว่าสิ่งแวดล้อมนั้นเข้าใจได้ผ่านการดูดซึมวัตถุในรูปแบบการกระทำที่มีอยู่ และสิ่งเหล่านี้จะปรับให้เข้ากับวัตถุในระดับที่รูปแบบที่มีอยู่นั้นไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้ อันเป็นผลจากการโต้ตอบระหว่างการดูดซึมและการปรับตัวนี้ ความคิดจึงพัฒนาผ่านลำดับขั้นตอนที่แตกต่างกันในเชิงคุณภาพในรูปแบบของการแสดงและความซับซ้อนของการอนุมานและความเข้าใจ กล่าวคือ ความคิดพัฒนาจากการมีพื้นฐานอยู่บนการรับรู้และการกระทำในระยะประสาทสัมผัสและการเคลื่อนไหวในช่วงสองปีแรกของชีวิตไปสู่การแสดงภายในในวัยเด็กตอนต้น ต่อมา การแสดงจะถูกจัดระเบียบทีละน้อยเป็นโครงสร้างตรรกะซึ่งดำเนินการตามคุณสมบัติที่เป็นรูปธรรมของความเป็นจริงก่อน ในขั้นตอนของการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม จากนั้นจึงดำเนินการตามหลักการนามธรรมที่จัดระเบียบคุณสมบัติที่เป็นรูปธรรม ในขั้นตอนของการดำเนินการอย่างเป็นทางการ[121]ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แนวคิดของ Piagetian เกี่ยวกับความคิดได้รวมเข้ากับแนวคิดเกี่ยวกับการประมวลผลข้อมูล ดังนั้น ความคิดจึงถือเป็นผลลัพธ์ของกลไกที่รับผิดชอบในการนำเสนอและประมวลผลข้อมูล ในแนวคิดนี้ความเร็วในการประมวลผลการควบคุมทางปัญญาและหน่วยความจำในการทำงานเป็นฟังก์ชันหลักที่อยู่เบื้องหลังความคิด ใน ทฤษฎีการพัฒนาทางปัญญาของนีโอ-ปิอาเจเชียนการพัฒนาความคิดถือว่ามาจากความเร็วในการประมวลผลที่เพิ่มขึ้นการควบคุมทางปัญญา ที่เพิ่มขึ้น และหน่วยความจำในการทำงานที่เพิ่มขึ้น[122]

        จิตวิทยาเชิงบวกเน้นย้ำถึงด้านบวกของจิตวิทยามนุษย์อย่างเท่าเทียมกันกับการเน้นที่ความผิดปกติทางอารมณ์และอาการเชิงลบอื่นๆ ในCharacter Strengths and Virtuesปีเตอร์สันและเซลิกแมนได้ระบุลักษณะเชิงบวกหลายประการไว้ บุคคลหนึ่งไม่ได้คาดหวังให้มีจุดแข็งทุกประการ และไม่ได้หมายความว่าบุคคลนั้นจะสามารถสรุปลักษณะนั้นได้ทั้งหมด รายการดังกล่าวกระตุ้นให้เกิดความคิดเชิงบวกที่เสริมสร้างจุดแข็งของบุคคล มากกว่าจะกระตุ้นให้เกิดการ "แก้ไข" "อาการ" ของบุคคลนั้น[123]

        จิตวิเคราะห์

        แก้ไข

        “อิด” “อีโก้” และ “ซูเปอร์อีโก้” เป็นสามส่วนของ “ กลไกทางจิต ” ที่กำหนดไว้ในแบบจำลองโครงสร้าง ของจิต ของซิกมันด์ ฟรอยด์ทั้งสามส่วนนี้เป็นโครงสร้างทางทฤษฎีที่ใช้บรรยายกิจกรรมและปฏิสัมพันธ์ของชีวิตจิต ตามแบบจำลองนี้ แนวโน้มสัญชาตญาณที่ไม่ประสานกันนั้นรวมอยู่ใน “อิด” ส่วนที่สมจริงและเป็นระเบียบของจิตคือ “อีโก้” และหน้าที่วิพากษ์วิจารณ์และสั่งสอนศีลธรรมคือ “ซูเปอร์อีโก้” [124]

        สำหรับจิตวิเคราะห์ จิตใต้สำนึกไม่ได้หมายความถึงสิ่งที่ไม่มีสติสัมปชัญญะทั้งหมด แต่หมายความถึงสิ่งที่ถูกระงับอย่างแข็งขันจากความคิดที่มีสติสัมปชัญญะหรือสิ่งที่บุคคลนั้นไม่ต้องการรู้โดยมีสติสัมปชัญญะเท่านั้น ในแง่หนึ่ง มุมมองนี้ทำให้ตัวตนมีความสัมพันธ์กับจิตใต้สำนึกในฐานะศัตรู ต่อสู้กับตัวเองเพื่อปกปิดสิ่งที่จิตใต้สำนึกไว้ หากบุคคลรู้สึกเจ็บปวด สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือบรรเทาความเจ็บปวด ความปรารถนาใดๆ ของเขาที่จะกำจัดความเจ็บปวดหรือเพลิดเพลินกับบางสิ่ง จะสั่งให้จิตใจทำอะไร สำหรับฟรอยด์ จิตใต้สำนึกเป็นที่จัดเก็บความคิด ความปรารถนาหรือความปรารถนาที่สังคมไม่ยอมรับ ความทรงจำที่กระทบกระเทือนจิตใจ และอารมณ์เจ็บปวดที่ถูกขับออกจากจิตใจโดยกลไกของการกดขี่ทางจิตวิทยา อย่างไรก็ตาม เนื้อหาไม่จำเป็นต้องเป็นด้านลบเพียงอย่างเดียว ในมุมมองจิตวิเคราะห์ จิตใต้สำนึกเป็นพลังที่สามารถรับรู้ได้จากผล ของมันเท่านั้น—มันแสดงออกในอาการ[125]

        จิตไร้สำนึกส่วนรวมซึ่งบางครั้งเรียกว่า จิตใต้สำนึกส่วนรวม เป็นศัพท์ของจิตวิทยาเชิงวิเคราะห์ คิดค้นโดยคาร์ล ยุงเป็นส่วนหนึ่งของจิตไร้สำนึกที่สังคมประชาชน หรือมนุษยชาติ ทั้งหมด มีร่วมกันในระบบที่เชื่อมโยงกัน ซึ่งเป็นผลผลิตจากประสบการณ์ร่วมกันทั้งหมด และประกอบด้วยแนวคิด เช่นวิทยาศาสตร์ศาสนาและศีลธรรมแม้ว่าฟรอยด์ จะไม่ได้แยกแยะระหว่าง "จิตวิทยาส่วนบุคคล" และ "จิตวิทยาส่วนรวม" แต่ยุงได้แยกจิตไร้สำนึกส่วนรวมออกจากจิตใต้สำนึกส่วนบุคคลที่เฉพาะเจาะจงของมนุษย์แต่ละคน จิตไร้สำนึกส่วนรวมยังเป็นที่รู้จักในชื่อ "แหล่งรวมประสบการณ์ของเผ่าพันธุ์เรา" [126]

        ในบท "คำจำกัดความ" ของงานสำคัญ ของยุงที่มีชื่อว่า Psychological Typesภายใต้คำจำกัดความของ "กลุ่ม" ยุงอ้างถึงการแทนค่าแบบกลุ่มซึ่งเป็นคำที่คิดขึ้นโดยลูเซียน เลวี-บรูห์ลในหนังสือHow Natives Think ของเขาในปี 1910 ยุงกล่าวว่านี่คือสิ่งที่เขาเรียกว่าจิตไร้สำนึกส่วนรวม ในทางกลับกัน ฟรอยด์ไม่ยอมรับแนวคิดเรื่องจิตไร้สำนึกส่วนรวม

        แก้ไข

        กฎแห่งความคิด

        แก้ไข

        ตามธรรมเนียมแล้ว คำว่า " กฎแห่งความคิด " หมายถึงกฎพื้นฐานสามประการของตรรกะ: กฎแห่งความขัดแย้งกฎแห่งการกีดกันกลางและหลักการแห่งเอกลักษณ์ [ 127] [128]กฎเหล่านี้เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นสัจพจน์ของตรรกะ แต่สามารถมองได้ว่าเป็นปูมสำคัญสำหรับการกำหนดสัจพจน์ของตรรกะ สมัยใหม่ กฎแห่งความขัดแย้งระบุว่าสำหรับข้อเสนอใดๆ ก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่ทั้งข้อเสนอนั้นและการปฏิเสธของข้อเสนอนั้นจะเป็นจริง:{\displaystyle \lnot (p\land \lnot p)}ตามกฎแห่งการยกเว้นกลางสำหรับข้อเสนอใดๆ ข้อเสนอนั้นหรือข้อเสนอตรงข้ามย่อมเป็นจริง:{\displaystyle p\lor \lnot p}หลักการของเอกลักษณ์ยืนยันว่าวัตถุใด ๆ ก็ตามจะเหมือนกับตัวมันเอง:{\displaystyle \สำหรับ x(x=x)}127] [128]มีแนวคิดที่แตกต่างกันว่ากฎแห่งความคิดควรเข้าใจอย่างไร การตีความที่เกี่ยวข้องกับการคิดมากที่สุดคือการเข้าใจว่ากฎแห่งความคิดเป็นกฎที่กำหนดว่าควรคิดอย่างไร หรือเป็นกฎแห่งรูปแบบของข้อเสนอที่เป็นจริงได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในรูปแบบและไม่ขึ้นอยู่กับเนื้อหาหรือบริบท[128] ในทางกลับกัน การตีความเชิงอภิปรัชญา ถือว่ากฎแห่งความคิดแสดงถึงธรรมชาติของ "การมีอยู่ในฐานะนั้น" [128]

        แม้ว่ากฎสามข้อนี้จะได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่นักตรรกะ แต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นสากล[127] [128]ตัวอย่างเช่น อริสโตเติลยึดมั่นว่ามีบางกรณีที่กฎของกลางที่ถูกแยกออกนั้นเป็นเท็จ ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนเป็นหลัก ในมุมมองของเขา ปัจจุบัน "ไม่จริงหรือเท็จเลยที่พรุ่งนี้จะมีการสู้รบทางเรือ" [127] [128]ตรรกะแบบสัญชาตญาณนิยมสมัยใหม่ยังปฏิเสธกฎของกลางที่ถูกแยกออกอีกด้วย การปฏิเสธนี้มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าความจริงทางคณิตศาสตร์ขึ้นอยู่กับการตรวจยืนยันผ่านการพิสูจน์กฎนี้จะล้มเหลวสำหรับกรณีที่ไม่มีการพิสูจน์ดังกล่าวได้ ซึ่งมีอยู่ในทุกระบบทางการที่แข็งแกร่งเพียงพอ ตามทฤษฎีบทความไม่สมบูรณ์ของเกอเดล [ 129] [130] [127] [128] ในทางกลับกัน นักเทวนิยมแบบไดอะลีธีสต์ปฏิเสธกฎแห่งความขัดแย้งโดยยึดมั่นว่าข้อเสนอบางอย่างเป็นทั้งจริงและเป็นเท็จ แรงจูงใจประการหนึ่งของตำแหน่งนี้คือการหลีกเลี่ยงความขัดแย้งบางประการในตรรกะคลาสสิกและทฤษฎีเซต เช่นความขัดแย้งของคนโกหกและความขัดแย้งของรัสเซลล์ปัญหาประการหนึ่งคือการค้นหาสูตรที่หลีกเลี่ยงหลักการของการระเบิดกล่าวคือ ทุกสิ่งทุกอย่างตามมาจากความขัดแย้ง[131] [132] [133]

        การกำหนดสูตรกฎแห่งความคิดบางอย่างรวมถึงกฎข้อที่สี่: หลักการแห่งเหตุผลเพียงพอ[128]ระบุว่าทุกสิ่งมีเหตุผลพื้นฐาน หรือสาเหตุเพียงพอ มันเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดที่ว่าทุกสิ่งสามารถเข้าใจได้หรือสามารถอธิบายได้โดยอ้างอิงถึงเหตุผลที่เพียงพอ[134] [135]ตามแนวคิดนี้ ควรมีคำอธิบายที่สมบูรณ์เสมอ อย่างน้อยก็ในหลักการ สำหรับคำถามเช่น ทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า หรือทำไมสงครามโลกครั้งที่สองจึงเกิดขึ้น ปัญหาประการหนึ่งของการรวมหลักการนี้ไว้ในกฎแห่งความคิดก็คือ มันเป็นหลักการเชิงอภิปรัชญา ซึ่งแตกต่างจากกฎอีกสามข้อ ซึ่งเกี่ยวข้องกับตรรกะเป็นหลัก[135] [128] [134]

        การคิดแบบตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริง

        แก้ไข

        การคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับการแสดงภาพทางจิตของสถานการณ์และเหตุการณ์ที่ไม่เป็นจริง กล่าวคือ สิ่งที่ "ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง" [136] [137]โดยปกติแล้วจะมีเงื่อนไขโดยมุ่งเป้าไปที่การประเมินว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเงื่อนไขบางประการเกิดขึ้น[138] [139]ในแง่นี้ การคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงพยายามตอบคำถาม "จะเกิดอะไรขึ้นถ้า" ตัวอย่างเช่น การคิดหลังเกิดอุบัติเหตุว่าคนเราจะเสียชีวิตหากไม่คาดเข็มขัดนิรภัยเป็นรูปแบบหนึ่งของการคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริง โดยถือว่าคนเราไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริง และพยายามประเมินผลของสถานการณ์ดังกล่าว[137]ในแง่นี้ การคิดแบบโต้แย้งข้อเท็จจริงมักจะเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงเพียงเล็กน้อย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงเพียงไม่กี่ข้อ เช่น เกี่ยวกับเข็มขัดนิรภัย ในขณะที่ข้อเท็จจริงอื่นๆ ส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่เดิม เช่น การขับรถ เพศ กฎฟิสิกส์ เป็นต้น[136]เมื่อเข้าใจในความหมายที่กว้างที่สุด การคิดแบบโต้แย้งข้อเท็จจริงมีหลายรูปแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเลย[139]ตัวอย่างเช่น เมื่อเราพยายามคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอนเกิดขึ้น และเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในภายหลังและนำผลที่คาดไว้มาด้วย[138]ในความหมายที่กว้างขึ้นนี้ บางครั้งใช้คำว่า "เงื่อนไขสมมติ" แทน " เงื่อนไขสมมติ " [139]แต่กรณีตัวอย่างของการคิดแบบโต้แย้งข้อเท็จจริงเกี่ยวข้องกับทางเลือกของเหตุการณ์ในอดีต[136]

        การคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงมีบทบาทสำคัญ เนื่องจากเราประเมินโลกที่อยู่รอบตัวเราไม่เพียงแต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย[137]มนุษย์มีแนวโน้มที่จะคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงมากขึ้นหลังจากเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น เนื่องจากการกระทำบางอย่างที่ตัวแทนได้กระทำ[138] [136]ในแง่นี้ ความเสียใจหลายอย่างมีความเกี่ยวข้องกับการคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริง ซึ่งตัวแทนใคร่ครวญว่าผลลัพธ์ที่ดีกว่านี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากพวกเขากระทำแตกต่างไปจากเดิม[137]กรณีเหล่านี้เรียกว่าการสวนทางข้อเท็จจริงที่ตรงกันข้ามกับการสวนทางข้อเท็จจริงที่ตรงกันข้าม ซึ่งสถานการณ์สวนทางข้อเท็จจริงนั้นแย่กว่าความเป็นจริง[138] [136]การคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงที่ตรงกันข้ามมักจะไม่น่าประทับใจ เนื่องจากนำเสนอสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในแง่มุมที่ไม่ดี ซึ่งแตกต่างจากอารมณ์เชิงบวกที่เกี่ยวข้องกับการคิดแบบสวนทางข้อเท็จจริงที่ตรงกันข้าม[137]แต่ทั้งสองรูปแบบมีความสำคัญ เนื่องจากสามารถเรียนรู้จากทั้งสองรูปแบบและปรับพฤติกรรมให้เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต[137] [136]

        การทดลองทางความคิด

        แก้ไข

        การทดลองทางความคิดเกี่ยวข้องกับการคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ในจินตนาการ โดยมักจะมีจุดมุ่งหมายเพื่อตรวจสอบผลที่ตามมาที่เป็นไปได้ของการเปลี่ยนแปลงลำดับเหตุการณ์จริง[140] [141] [142]ถือเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันว่าการทดลองทางความคิดควรได้รับการเข้าใจในระดับใดว่าเป็นการทดลองจริง[143] [144] [145] การทดลองทางความ คิดเป็นการทดลองที่ประกอบด้วยการตั้งสถานการณ์บางอย่างขึ้น และเราพยายามเรียนรู้จากสถานการณ์นั้นโดยทำความเข้าใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นตามมา[146] [143]การทดลองทางความคิดแตกต่างจากการทดลองทั่วไปตรงที่เราใช้จินตนาการเพื่อสร้างสถานการณ์ขึ้นมา และใช้การให้เหตุผลเชิงโต้แย้งเพื่อประเมินผลที่ตามมา แทนที่จะสร้างขึ้นในเชิงกายภาพและสังเกตผลที่ตามมาผ่านการรับรู้[147] [141] [143] [142]ดังนั้น การคิดเชิงโต้แย้งจึงมีบทบาทสำคัญในการทดลองทางความคิด[148]

        การโต้แย้งใน ห้องจีนเป็นการทดลองทางความคิดที่มีชื่อเสียงซึ่งเสนอโดยจอห์น เซียร์ล [ 149] [150]ซึ่งเกี่ยวข้องกับบุคคลหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องปิด โดยมีหน้าที่ตอบกลับข้อความที่เขียนเป็นภาษาจีน บุคคลนี้ไม่รู้ภาษาจีน แต่มีหนังสือคู่มือขนาดใหญ่ที่ระบุอย่างชัดเจนว่าจะตอบกลับข้อความที่เป็นไปได้อย่างไร ซึ่งคล้ายกับวิธีที่คอมพิวเตอร์ตอบสนองต่อข้อความ แนวคิดหลักของการทดลองทางความคิดนี้คือทั้งบุคคลและคอมพิวเตอร์ต่างก็ไม่เข้าใจภาษาจีน ด้วยวิธีนี้ เซียร์ลจึงมุ่งหวังที่จะแสดงให้เห็นว่าคอมพิวเตอร์ขาดจิตใจที่สามารถเข้าใจในรูปแบบที่ลึกซึ้งกว่าได้ แม้ว่าจะทำอย่างชาญฉลาดก็ตาม[149] [150]

        การทดลองทางความคิดถูกนำมาใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น เพื่อความบันเทิง การศึกษา หรือเป็นข้อโต้แย้งสำหรับหรือต่อต้านทฤษฎี การอภิปรายส่วนใหญ่เน้นไปที่การใช้เป็นข้อโต้แย้ง การใช้นี้พบได้ในสาขาต่างๆ เช่น ปรัชญา วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และประวัติศาสตร์[141] [145] [144] [143]เป็นที่ถกเถียงกันเนื่องจากมีการไม่เห็นด้วยมากมายเกี่ยวกับสถานะทางญาณวิทยาของการทดลองทางความคิด กล่าวคือ การทดลองทางความคิดมีความน่าเชื่อถือเพียงใดในฐานะหลักฐานที่สนับสนุนหรือหักล้างทฤษฎี[141] [145] [144] [143]เหตุผลหลักในการปฏิเสธการใช้แบบนี้คือ การทดลองทางความคิดแสร้งทำเป็นว่าเป็นแหล่งความรู้โดยไม่จำเป็นต้องออกจากเก้าอี้เพื่อหาข้อมูลเชิงประจักษ์ใหม่ๆ ผู้สนับสนุนการทดลองทางความคิดมักจะโต้แย้งว่าสัญชาตญาณที่อยู่เบื้องหลังและชี้นำการทดลองทางความคิดนั้นเชื่อถือได้อย่างน้อยก็ในบางกรณี[141] [143]แต่การทดลองทางความคิดก็อาจล้มเหลวได้เช่นกัน หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเหมาะสมจากสัญชาตญาณ หรือหากมันก้าวข้ามขอบเขตที่สัญชาตญาณสนับสนุน[141] [142]ในความหมายหลังนี้ บางครั้งมีการเสนอการทดลองทางความคิดที่ต่อต้าน ซึ่งปรับเปลี่ยนสถานการณ์เดิมเล็กน้อย เพื่อแสดงให้เห็นว่าสัญชาตญาณเริ่มต้นไม่สามารถอยู่รอดจากการเปลี่ยนแปลงนี้ได้[141]มีการเสนออนุกรมวิธานต่างๆ ของการทดลองทางความคิด ซึ่งสามารถแยกแยะได้ เช่น ว่าการทดลองนั้นประสบความสำเร็จหรือไม่ โดยสาขาที่ใช้การทดลองนั้น โดยบทบาทของการทดลองนั้นในทฤษฎี หรือโดยว่าการทดลองนั้นยอมรับหรือปรับเปลี่ยนกฎฟิสิกส์ที่แท้จริงหรือไม่[142] [141]

        การคิดอย่างมีวิจารณญาณ

        แก้ไข

        การคิดวิเคราะห์เป็นรูปแบบของการคิดที่สมเหตุสมผลไตร่ตรอง และมุ่งเน้นไปที่การกำหนดว่าจะเชื่ออะไรหรือจะกระทำอย่างไร[151] [152] [153]ถือเอาตัวเองเป็นมาตรฐานต่างๆ เช่น ความชัดเจนและความมีเหตุผล ในแง่นี้ ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับกระบวนการทางปัญญาที่พยายามแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกันก็เกี่ยวข้องกับ กระบวนการ ทางอภิปัญญาเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามมาตรฐานของตัวเอง[152]ซึ่งรวมถึงการประเมินว่าการใช้เหตุผลนั้นสมเหตุสมผลและมีหลักฐานอ้างอิงนั้นเชื่อถือได้[152]ซึ่งหมายความว่าตรรกะมีบทบาทสำคัญในการคิดวิเคราะห์ ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับตรรกะเชิงรูปนัย เท่านั้น แต่ยัง เกี่ยวข้อง กับตรรกะเชิงไม่เป็นทางการ ด้วย โดยเฉพาะเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดเชิงไม่เป็นทางการ ต่างๆ อันเนื่องมาจากการแสดงออกที่คลุมเครือหรือกำกวมในภาษาธรรมชาติ[152] [74] [73]ไม่มีคำจำกัดความมาตรฐานที่ยอมรับโดยทั่วไปของ "การคิดวิเคราะห์" แต่มีการทับซ้อนกันอย่างมีนัยสำคัญระหว่างคำจำกัดความที่เสนอในการกำหนดลักษณะของการคิดวิเคราะห์ว่ารอบคอบและมุ่งเป้าหมาย[153]ตามทฤษฎีบางทฤษฎี มีเพียงการสังเกตและการทดลองของนักคิดเท่านั้นที่ได้รับการยอมรับเป็นหลักฐานในการคิดวิเคราะห์ บางทฤษฎีจำกัดไว้เพียงการสร้างการตัดสินเท่านั้น แต่ไม่รวมถึงการกระทำเป็นเป้าหมาย[153]

        ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการคิดวิเคราะห์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกิดจากผลงานของจอห์น ดิวอี้เกี่ยวข้องกับการสังเกตฟองโฟมที่เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ขัดกับความคาดหวังเริ่มต้นของบุคคลนั้น นักคิดวิเคราะห์พยายามหาคำอธิบายที่เป็นไปได้ต่างๆ สำหรับพฤติกรรมนี้ จากนั้นจึงปรับเปลี่ยนสถานการณ์เดิมเล็กน้อยเพื่อพิจารณาว่าคำอธิบายใดเป็นคำอธิบายที่ถูกต้อง[153] [154]แต่กระบวนการที่มีคุณค่าทางปัญญาไม่ใช่ทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับการคิดวิเคราะห์ การได้มาซึ่งวิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องโดยทำตามขั้นตอนของอัลกอริทึมอย่างไม่ลืมหูลืมตาไม่ถือว่าเป็นการคิดวิเคราะห์ เช่นเดียวกับการเสนอวิธีแก้ปัญหาให้กับนักคิดด้วยความเข้าใจอย่างฉับพลันและยอมรับในทันที[153]

        การคิดวิเคราะห์มีบทบาทสำคัญในการศึกษา การส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมักถูกมองว่าเป็นเป้าหมายการศึกษาที่สำคัญ[153] [152] [155]ในแง่นี้ สิ่งสำคัญคือต้องถ่ายทอดไม่เพียงแค่ชุดความเชื่อที่แท้จริงให้กับนักเรียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสามารถในการสรุปผลด้วยตนเองและตั้งคำถามต่อความเชื่อที่มีอยู่ก่อนด้วย[155]ความสามารถและแนวโน้มที่เรียนรู้ด้วยวิธีนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์ต่อบุคคลเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสังคมโดยรวมด้วย[152]นักวิจารณ์ที่เน้นการคิดวิเคราะห์ในระบบการศึกษาได้โต้แย้งว่าไม่มีรูปแบบสากลของการคิดที่ถูกต้อง ในทางกลับกัน พวกเขาโต้แย้งว่าเนื้อหาวิชาต่างๆ พึ่งพามาตรฐานที่แตกต่างกัน และการศึกษาควรเน้นที่การถ่ายทอดทักษะเฉพาะวิชาเหล่านี้แทนที่จะพยายามสอนวิธีการคิดที่เป็นสากล[153] [156]ข้อโต้แย้งอื่นๆ มีพื้นฐานมาจากแนวคิดที่ว่าการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทัศนคติที่เป็นพื้นฐานของการคิดอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวข้องกับอคติที่ไม่เป็นธรรมต่างๆ เช่น การเห็นแก่ตัว การมองโลกในแง่ร้าย การไม่สนใจ และการเน้นย้ำทฤษฎีมากเกินไปเมื่อเทียบกับการปฏิบัติ[153]

        ความคิดเชิงบวก

        แก้ไข

        การคิดบวกเป็นหัวข้อสำคัญในจิตวิทยาเชิงบวก [ 157]ซึ่งเกี่ยวข้องกับการมุ่งความสนใจไปที่แง่บวกของสถานการณ์ของตนเอง และด้วยเหตุนี้จึงดึงความสนใจของตนออกจากแง่ลบ[157 ] โดยทั่วไปแล้ว การคิดบวกมักถูกมองว่าเป็นมุมมองทั่วโลกที่ใช้กับการคิดโดยเฉพาะ แต่ยังรวมถึงกระบวนการทางจิตอื่นๆ เช่น ความรู้สึก ด้วยเช่นกัน[157]ในแง่นี้ การคิดบวกมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ การมองโลกใน แง่ดีซึ่งรวมถึงการคาดหวังว่าสิ่งดีๆ จะเกิดขึ้นในอนาคต[158] [157]มุมมองเชิงบวกนี้ทำให้ผู้คนมีแนวโน้มที่จะแสวงหาเป้าหมายใหม่ๆ มากขึ้น[157]นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสในการมุ่งมั่นต่อไปเพื่อบรรลุเป้าหมายที่มีอยู่เดิมซึ่งดูเหมือนจะบรรลุได้ยากแทนที่จะยอมแพ้[158] [157]

        ผลกระทบของการคิดบวกยังไม่ได้รับการวิจัยอย่างละเอียด แต่การศึกษาวิจัยบางกรณีชี้ให้เห็นว่ามีความสัมพันธ์ระหว่างการคิดบวกกับความเป็นอยู่ที่ดี[157]ตัวอย่างเช่น นักเรียนและสตรีมีครรภ์ที่มีทัศนคติเชิงบวกมักจะจัดการกับสถานการณ์ที่กดดันได้ดีกว่า[158] [157]บางครั้งสิ่งนี้สามารถอธิบายได้ด้วยการชี้ให้เห็นว่าความเครียดไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติในสถานการณ์ที่กดดัน แต่ขึ้นอยู่กับการตีความสถานการณ์ของตัวแทน ดังนั้น ความเครียดที่ลดลงอาจพบได้ในผู้ที่คิดบวก เนื่องจากพวกเขามักจะมองสถานการณ์ดังกล่าวในแง่บวกมากกว่า[157]แต่ผลกระทบยังรวมถึงด้านปฏิบัติด้วย โดยที่ผู้คิดบวกมักจะใช้กลยุทธ์การรับมือที่ดีต่อสุขภาพเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก[157]สิ่งนี้ส่งผลต่อเวลาที่จำเป็นในการฟื้นตัวจากการผ่าตัดอย่างสมบูรณ์และแนวโน้มที่จะกลับไปออกกำลังกายอีกครั้งหลังจากนั้น[158]

        แต่มีการถกเถียงกันว่าการคิดบวกจะนำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยอื่นๆ หากไม่มีปัจจัยเหล่านี้ ผลลัพธ์เชิงลบอาจตามมา ตัวอย่างเช่น แนวโน้มของผู้มองโลกในแง่ดีที่จะพยายามต่อไปในสถานการณ์ที่ยากลำบากอาจส่งผลเสียได้หากเหตุการณ์ต่างๆ อยู่นอกเหนือการควบคุมของตัวแทน[158]อันตรายอีกประการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการคิดบวกก็คือ อาจเป็นเพียงจินตนาการที่ไม่สมจริงเท่านั้น และด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถมีส่วนสนับสนุนเชิงบวกในทางปฏิบัติต่อชีวิตของตัวแทนได้[159] ในทางกลับกัน การมองโลกในแง่ร้ายอาจมีผลในเชิงบวก เนื่องจากสามารถบรรเทาความผิดหวังได้ด้วยการคาดการณ์ถึงความล้มเหลว[158] [160]

        การคิดบวกเป็นหัวข้อที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในวรรณกรรมช่วยเหลือตนเอง[161]ในที่นี้ มักมีการอ้างว่าสามารถปรับปรุงชีวิตของตนเองได้อย่างมีนัยสำคัญโดยพยายามคิดบวก แม้ว่าจะหมายถึงการส่งเสริมความเชื่อที่ขัดแย้งกับหลักฐานก็ตาม[162]การอ้างสิทธิ์ดังกล่าวและประสิทธิภาพของวิธีการที่แนะนำนั้นมีข้อโต้แย้งและถูกวิพากษ์วิจารณ์เนื่องจากขาดหลักฐานทางวิทยาศาสตร์[162] [163]ในขบวนการความคิดใหม่การคิดบวกปรากฏอยู่ในกฎแห่งแรงดึงดูด ซึ่งเป็นการอ้าง สิทธิ์ทางวิทยาศาสตร์เทียมที่ว่าความคิดเชิงบวกสามารถส่งผลโดยตรงต่อโลกภายนอกได้โดยดึงดูดผลลัพธ์เชิงบวก[164]

        ดูสิ่งนี้ด้วย

        แก้ไข